• Privacy Policy
  • Sample Page
News
No Result
View All Result
No Result
View All Result
News
No Result
View All Result

แอร์ ภัณฑิลา บริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภคช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ พร้อมลงมือแพ็กถุงยังชีพเพื่อส่งต่ออย่างเร่งด่วน

admin79 by admin79
November 26, 2025
in Uncategorized
0
แอร์ ภัณฑิลา บริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภคช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ พร้อมลงมือแพ็กถุงยังชีพเพื่อส่งต่ออย่างเร่งด่วน

สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ยังคงวิกฤต ประชาชนหลายครอบครัวได้รับผลกระทบอย่างหนักกับอุทกภัยครั้งใหญ่รอบนี้ เพราะมวลน้ำมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว แม้หลายหน่วยงานจะพยายามเข้าให้การช่วยเหลือแล้ว แต่ก็ยังไม่ครอบคลุม และบางจุดก็ยังไม่สามารถเข้าไปให้การช่วยเหลือได้ ขณะที่น้ำใจจากคนไทยทั่วประเทศยังคงหลั่งไหลไม่หยุด

ล่าสุดเมื่อวานนี้ (25 พ.ย. 68) พิธีกรรายการตกมันส์บันเทิง แอร์ – ภัณฑิลา ฟูกลิ่น ก็ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจเล็ก ๆ ให้กับพี่น้องชาวใต้ที่กำลังประสบภัยน้ำท่วม โดยได้บริจาคเครื่องอุปโภค-บริโภคมากมาย อาทิ ปลากระป๋อง , บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป , แพมเพิส , ผ้าอนามัย , นม , น้ำดื่ม และอาหารสุนัข สมทบ มูลนิธิองค์กรทำดี ของ บุ๋ม – ปนัดดา วงศ์ผู้ดี เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ทั้งนี้เธอยังได้ช่วยพี่ ๆ จิตอาสาแพ็กถุงยังชีพอีกด้วย

โดย แอร์ ได้โพสต์ภาพลงอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมเขียนข้อความว่า “ขอเป็นกำลังใจเล็ก ๆ ที่ส่งถึงพี่น้องชาวใต้ที่กำลังประสบภัยน้ำท่วมทุกคนนะคะ วันนี้บุกไปถึงมูลนิธิองค์กรทำดี คลอง 8 แอร์ยังได้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้แพ็กถุงยังชีพกับพี่ ๆ น้อง ๆ ทีมงานองค์กรทำดีด้วย ทุกคนทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่กันจริง ๆ และน่ารักมาก ๆ ค่ะ เร่งแพ็กกันใหญ่เพราะมีรถส่งของลำเลียงถุงยังชีพจากกรุงเทพฯ ลงใต้ทุกวันเลยค่า ขอขอบคุณพี่ ๆ อาสาทุกหน่วยงานทุกคนเลยค่ะ และขอให้พี่น้องชาวใต้ทุกคนปลอดภัยนะคะ” .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

บทความฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับ: ราชอาณาจักรไทย

ปี 2568: ถอดรหัสอสังหาริมทรัพย์ไทย – ใครคือผู้นำและกลยุทธ์แห่งอนาคต

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการพลิกผันและปรับตัวของตลาดมานับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นบททดสอบที่เข้มข้นที่สุดครั้งหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการ การทำความเข้าใจ “บทเรียนจากอดีต” โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปี 2566 และการเปลี่ยนผ่านสู่ปี 2567 ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ถือเป็นกุญแจสำคัญในการถอดรหัสและวางกลยุทธ์เพื่อความสำเร็จใน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ที่กำลังจะมาถึง

ปี 2566 เป็นปีที่หลายคนคาดหวังว่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องจากโมเมนตัมที่ดีในช่วงปลายปี 2565 แต่ความจริงกลับเป็นอีกด้านหนึ่ง ตลาดชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดก่อนการเลือกตั้งใหญ่ และซบเซาต่อเนื่องตลอดทั้งปี แม้แต่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4 ก็ยังไม่สามารถพลิกฟื้นได้อย่างที่หวัง ซึ่งส่งผลให้ความท้าทายลากยาวมาจนถึงปี 2567 และกำลังจะสร้างภูมิทัศน์ใหม่ให้กับ แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ 2568 ที่ต้องอาศัยกลยุทธ์ที่เฉียบคมและแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

ผมได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ 41 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงานในปี 2566 และใช้เป็นฐานในการประเมินศักยภาพและทิศทางสำหรับปี 2568 โดยจะเน้นไปที่ผู้เล่นหลัก กลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ และปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อน การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในอนาคต การวิเคราะห์นี้ไม่ใช่เพียงแค่การนำเสนอตัวเลข แต่เป็นการถอดรหัสสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและความท้าทาย เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าใครคือ “ผู้ชนะตัวจริง” ในสมรภูมิ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

บทเรียนจากปี 2566 สู่กลยุทธ์ปี 2568: ภาพรวมรายได้รวม

ในปี 2566 บริษัทอสังหาฯ ทั้ง 41 รายที่ทำการศึกษา สามารถสร้างรายได้รวมกันกว่า 371,560 ล้านบาท ซึ่งลดลงเล็กน้อยที่ -1.2% จากปี 2565 ที่มีรายได้รวม 376,141 ล้านบาท ตัวเลขนี้ดูเหมือนไม่มาก แต่เมื่อเจาะลึกรายบริษัท เราพบว่ามีถึง 25 จาก 41 บริษัทที่มีรายได้รวมลดลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของตลาดและความท้าทายที่บริษัทจำนวนมากต้องเผชิญหน้า

บริษัทที่ประสบภาวะรายได้รวมติดลบอย่างรุนแรงในระดับ 20% ขึ้นไป ได้แก่ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN), อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท (ESTAR) และ คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ (CGD) ซึ่งติดลบไปราว -28% นอกจากนี้ยังมี ไรมอน แลนด์ (RAIMON) ที่ติดลบ -26%, ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) -23%, เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) -22% และไซมิส แอสเสท (SA) -21% ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่สถิติ แต่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งกำลังซื้อที่ลดลง ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น นโยบายสินเชื่อที่เข้มงวด และความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงนั้น บริษัทเหล่านี้ซึ่งส่วนใหญ่พึ่งพาการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้การวางแผนโครงการใหม่และการระบายสต็อกเก่าเป็นไปอย่างยากลำบาก หากต้องการพลิกฟื้นในปี 2568 พวกเขาจะต้องมี กลยุทธ์อสังหาริมทรัพย์ ที่แข็งแกร่งและแตกต่าง โดยอาจเน้นการปรับโครงสร้างหนี้ การปรับพอร์ตสินค้าให้สอดรับกับความต้องการจริงของตลาด หรือการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเฉพาะทางมากขึ้น

แม้แต่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ก็ยังมีรายได้รวมติดลบถึง 18% และที่น่าสังเกตคือ ในกลุ่ม Top 10 บริษัทที่มีรายได้รวมสูงสุดในปี 2566 มีถึง 5 บริษัทที่รายได้รวมลดลงจากปี 2565 นอกเหนือจากแลนด์แอนด์เฮ้าส์แล้ว ยังมี เอพี (ไทยแลนด์) (AP) ที่ติดลบเล็กน้อยไม่ถึง -1%, ศุภาลัย (SPALI) -10%, พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) -9% และ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ลดลงราว -4% แม้ตัวเลขลดลงจะไม่รุนแรงเท่ากลุ่มแรก แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานลูกค้าและแบรนด์แข็งแกร่งก็ยังได้รับผลกระทบจากสภาวะตลาดที่ซบเซา การรักษาระดับรายได้ในสภาวะเช่นนี้ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง และสำหรับปี 2568 บริษัทเหล่านี้จะต้องอาศัยการตลาดเชิงรุก การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำและผลักดัน การเติบโตของอสังหาริมทรัพย์

ในทางกลับกัน แสนสิริ (SIRI) กลับผงาดขึ้นเป็นแชมป์รายได้รวมด้วยตัวเลข 39,082 ล้านบาท เติบโตถึง 12% ซึ่งเฉือนอันดับ 2 อย่าง เอพี (ไทยแลนด์) ที่ทำได้ 38,399 ล้านบาทไปอย่างน่าจับตา อันดับ 3 ศุภาลัย ตามมาด้วย 31,818 ล้านบาท ขณะที่อันดับ 4 เป็นของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ 30,170 ล้านบาท อันดับ 5 พฤกษา โฮลดิ้ง 26,132 ล้านบาท อันดับ 6 เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) 24,487 ล้านบาท อันดับ 7 ยูนิเวนเจอร์ (UV) 17,672 ล้านบาท อันดับ 8 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT) 16,169 ล้านบาท อันดับ 9 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ 15,157 ล้านบาท และอันดับ 10 สิงห์ เอสเตท (S) 15,066 ล้านบาท ความสำเร็จของแสนสิริเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของกลยุทธ์ที่เน้นความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ การเข้าถึงตลาดที่แตกต่างกัน และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในปี 2568 เราจะเห็นผู้ประกอบการรายอื่น ๆ นำกลยุทธ์เหล่านี้ไปปรับใช้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน

เจาะลึกรายได้จากการขาย: วัดพลังการตลาดและผลิตภัณฑ์ในยุค 2568

แม้รายได้รวมจะสะท้อนภาพรวมของธุรกิจ แต่หากจะวัดประสิทธิภาพที่แท้จริงของการพัฒนาและขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ เราต้องพิจารณา “รายได้จากการขาย” เป็นหลัก เพราะรายได้รวมอาจมีองค์ประกอบจากธุรกิจอื่น ๆ เข้ามาช่วยพยุง การวิเคราะห์รายได้จากการขายจะเผยให้เห็นว่าบริษัทใดมีพลังในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจตลาดและมีกลยุทธ์การขายที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางสำหรับ การฟื้นตัวอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2568

ในปี 2566 บริษัททั้ง 41 แห่ง สามารถทำรายได้จากการขายรวมกันได้ 268,460 ล้านบาท ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญที่ -11% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้จากการขายรวมประมาณ 299,979 ล้านบาท ที่น่าตกใจคือ มีถึง 30 จาก 41 บริษัทที่มีรายได้จากการขายลดลง ซึ่งสูงกว่าสัดส่วนของบริษัทที่มีรายได้รวมลดลงอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกถึงภาวะตึงตัวในตลาดที่อยู่อาศัย

บริษัทที่รายได้จากการขายตกลงอย่างน่าตกใจ ได้แก่ ไรมอน แลนด์ ที่ลดลงถึง -78% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการระบายสต็อกสินค้ามูลค่าสูง แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ รายได้จากการขายลดลงเกือบ -40% ซึ่งอาจเป็นผลจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และพอร์ตสินค้า ส่วน แลนด์แอนด์เฮ้าส์ แม้จะเป็นผู้นำด้านกำไร แต่รายได้จากการขายกลับลดลงถึง -38% ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าจับตา และแม้แต่เบอร์ 1 อย่าง เอพี (ไทยแลนด์) ก็ยังมีรายได้จากการขายลดลงเล็กน้อยที่ -2% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครรอดพ้นจากผลกระทบของตลาดที่ซบเซาได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ใน Top 10 ของบริษัทที่มีรายได้จากการขายสูงสุด ก็มีบริษัทที่ทำรายได้จากการขายลดลงถึง 8 บริษัทด้วยกัน

ในปี 2568 นี้ การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและกลยุทธ์การขายที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจะเป็นหัวใจสำคัญ ผู้ประกอบการจะต้องใส่ใจกับการพัฒนา คอนโดมิเนียมหรู หรือ บ้านเดี่ยว ที่มีฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ การออกแบบที่ยั่งยืน และการใช้เทคโนโลยีสมาร์ทโฮม เพื่อสร้างความแตกต่างและดึงดูดกำลังซื้อที่เหลืออยู่

เอพี (ไทยแลนด์) ผงาดขึ้นเป็นเบอร์ 1 ด้านยอดขาย โกยรายได้ 36,927 ล้านบาท

สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาฯ ที่ทำรายได้จากการขายสูงสุดในปี 2566 อันดับ 1 ตกเป็นของ เอพี (ไทยแลนด์) ที่มีรายได้จากการขายรวม 36,927 ล้านบาท ซึ่งสามารถปาดหน้าคืนอันดับ 2 อย่าง แสนสิริ ที่เข้าป้ายด้วยรายได้จากการขายรวม 32,829 ล้านบาท แม้แสนสิริจะเสียตำแหน่งแชมป์ยอดขายไป แต่ก็เป็น 1 ใน 2 บริษัทในกลุ่ม Top 10 ที่มีรายได้จากการขายเติบโตขึ้น 7% ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งในการทำการตลาดและบริหารจัดการโครงการ อันดับ 3 ศุภาลัย ยังคงรักษาอันดับได้อย่างเหนียวแน่นด้วยรายได้ขาย 30,836 ล้านบาท ตามมาด้วยอันดับ 4 เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ที่ขึ้น Top 5 ได้สำเร็จด้วยรายได้ขาย 23,370 ล้านบาท และเป็นอีกบริษัทที่มีรายได้เติบโตในแดนบวกที่ 13% ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการปรับตัวและจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แข็งแกร่ง อันดับ 5 พฤกษา โฮลดิ้ง มีรายได้จากการขายรวม 22,357 ล้านบาท

ส่วนอันดับ 6 แม้รายได้จากการขายจะตกลงไปเยอะ แต่ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ก็ยังประคองตัวอยู่ใน Top 10 ด้วยรายได้ขายรวม 18,966 ล้านบาท อันดับ 7 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ มีรายได้ขายรวม 10,019 ล้านบาท อันดับ 8 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ แม้ว่าจะมีรายได้ลดลงถึง -24% แต่ก็ยังเกาะกลุ่มอยู่ใน Top 10 ได้ด้วยรายได้ขายรวม 8,840 ล้านบาท อันดับ 9 ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) มีรายได้จากการขายรวม 7,619 ล้านบาท และอันดับ 10 พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) มีรายได้จากการขายรวม 7,171 ล้านบาท

อีกบริษัทหนึ่งที่มีผลงานโดดเด่นจนต้องกล่าวถึงคือ เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ที่เริ่มเก็บเกี่ยวผลจากกลยุทธ์ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขายที่ปูพรมมาหลายโครงการ โดยในปี 2566 เซ็นทรัลพัฒนา มีรายได้จากการขาย 5,835 ล้านบาท เติบโตถึง 103% จากปี 2565 ที่มีรายได้จากการขาย 2,870 ล้านบาท ตัวเลขนี้ตอกย้ำถึงศักยภาพของ โครงการมิกซ์ยูส และความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย ซึ่งจะเป็น เทรนด์ตลาดที่อยู่อาศัย สำคัญในปี 2568 โดยเฉพาะโครงการที่เชื่อมโยงกับศูนย์การค้าหรือพื้นที่เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่

แกะรอยกำไรสุทธิ: หัวใจของผู้ชนะที่แท้จริงในตลาด 2568

ท้ายที่สุดแล้ว แม้จะทำยอดขายได้ดีแค่ไหน หากไม่มีกำไรเข้ากระเป๋า ก็ไม่อาจถือว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริงได้ กำไรสุทธิคือตัวชี้วัดสุขภาพทางการเงินและความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจในระยะยาว ซึ่งจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าใครจะยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งใน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ที่ยังคงเต็มไปด้วยความผันผวน

ในปี 2566 บริษัททั้ง 41 แห่ง สามารถทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 44,165 ล้านบาท ลดลง -11% จากปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิรวมราว 49,602 ล้านบาท ที่น่าเป็นห่วงคือ มีกว่า 12 บริษัทที่ผลประกอบการขาดทุน ซึ่งบางบริษัทขาดทุนต่อเนื่องมา 3-4 ปี ตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ และกว่า 20 บริษัทจาก 41 บริษัทมีผลกำไรลดลงจากปี 2565 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแรงกดดันด้านต้นทุน การแข่งขัน และภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ยืนหนึ่งทำกำไรสูงสุด 7,495 ล้านบาท

สำหรับ Top 10 บริษัทอสังหาฯ ที่สามารถทำกำไรได้สูงสุดในปี 2566 อันดับ 1 ยังคงเป็นแชมป์เก่าอย่าง แลนด์แอนด์เฮ้าส์ แม้จะมีรายได้จากการขายลดลงมาก แต่กลับกวาดกำไรในปีนี้ไปถึง 7,495 ล้านบาท เหตุผลหลักเป็นเพราะแลนด์แอนด์เฮ้าส์มีกำไรพิเศษประมาณ 2,500 ล้านบาทจากการขายโรงแรม 2 แห่งเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ หากไม่มีรายการพิเศษนี้ อันดับ 2 อย่าง ศุภาลัย คงจะเข้าป้ายเป็นอันดับ 1 ไปแล้ว โดยในปี 2566 ศุภาลัยทำกำไรไปได้ 6,083 ล้านบาท ซึ่งเฉือนอันดับ 3 อย่าง เอพี (ไทยแลนด์) ที่มีกำไร 6,054 ล้านบาท ไปอย่างเฉียดฉิว ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของศุภาลัยและเอพี สะท้อนถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีเยี่ยม การเลือกทำเลที่ตั้งอย่างชาญฉลาด และการวางราคาที่เหมาะสม

อันดับ 4 แสนสิริ มีกำไรสุทธิ 5,846 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 42% ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของยอดขายและการบริหารจัดการการเงินที่มีประสิทธิภาพ อันดับ 5 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีกำไรสุทธิ 3,160 ล้านบาท แม้กำไรจะลดลงจากปีก่อนถึง -25% ก็ตาม ซึ่งอาจเป็นผลจากการลงทุนขยายธุรกิจในช่วงก่อนหน้าและการรับรู้รายได้ที่ล่าช้า

อันดับ 6 เอสซี แอสเสท มีกำไรสุทธิ 2,525 ล้านบาท เฉือนอันดับ 7 ควอลิตี้เฮ้าส์ ที่มีกำไรสุทธิ 2,503 ล้านบาท ไปอย่างน่าตื่นเต้น อันดับ 8 พฤกษา โฮลดิ้ง มีกำไร 2,339 ล้านบาท ส่วนอันดับ 9 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ มีกำไร 1,865 ล้านบาท และอันดับ 10 เซ็นทรัลพัฒนา ที่มีกำไรสุทธิประมาณ 1,610 ล้านบาท (ตัวเลขประมาณการจากกำไรก่อนหักภาษีเงินได้ 1,975 ล้านบาท) การที่เซ็นทรัลพัฒนาติดอันดับ Top 10 ด้านกำไรได้สะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ที่มีรายได้หลากหลายจากทั้งการขายและค่าเช่า

สำหรับปี 2568 บริษัทที่จะเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงจะต้องไม่เพียงแค่สร้างรายได้จากการขาย แต่ต้องสามารถสร้าง “กำไร” ได้อย่างยั่งยืน โดยเน้นการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ การลดภาระหนี้ และการมองหาแหล่งรายได้ใหม่ๆ ที่มั่นคง การขายสินทรัพย์เข้ากองทุนเพื่อสร้างกำไรพิเศษอย่างที่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ทำ ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับการเพิ่ม มูลค่าเพิ่มอสังหาฯ และเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจในระยะยาว

ทิศทางและปัจจัยขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568: การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต

จากบทเรียนที่ผ่านมาและสถานการณ์ปัจจุบัน เราสามารถฉายภาพ แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ 2568 ได้ว่าจะเป็นปีที่ยังคงท้าทาย แต่ก็มีโอกาสสำหรับผู้ที่ปรับตัวได้เร็วและมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนตลาด ได้แก่:

การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว: การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนและกลุ่มตลาดใหม่ ๆ จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ และยังหนุนภาคการส่งออกที่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศ
อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ: อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงทรงตัวสูงหรืออาจมีการปรับลดลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนของผู้พัฒนาและภาระ สินเชื่อที่อยู่อาศัย ของผู้ซื้อ การบริหารจัดการกระแสเงินสดและหนี้สินจะเป็นหัวใจสำคัญ ขณะที่เงินเฟ้อที่ยังคงสูง จะกดดันกำลังซื้อและความสามารถในการก่อหนี้ของครัวเรือน
นโยบายภาครัฐ: นโยบายรัฐบาลอสังหาฯ จะมีบทบาทสำคัญ รัฐบาลอาจมีมาตรการกระตุ้นตลาดเพิ่มเติม เช่น การผ่อนปรนเกณฑ์ LTV (Loan to Value) สำหรับที่อยู่อาศัยหลังที่สองหรือสาม หรือการขยายมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง รวมถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนของชาวต่างชาติ เช่น วีซ่าระยะยาวพิเศษ หรือการอนุญาตให้ต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ได้มากขึ้น จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อจากภายนอก
โครงสร้างพื้นฐาน: โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย รถไฟความเร็วสูง และมอเตอร์เวย์ จะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างเมืองใหม่และขยายทำเลทองสำหรับ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ใกล้สถานีขนส่งมวลชนและเส้นทางคมนาคมหลัก
การเปลี่ยนแปลงด้านประชากรศาสตร์: สังคมสูงวัย ขนาดครัวเรือนที่เล็กลง และความต้องการพื้นที่ที่ตอบโจทย์การทำงานแบบไฮบริด จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผู้ประกอบการจะต้องออกแบบที่อยู่อาศัยที่รองรับความต้องการเฉพาะกลุ่ม เช่น โครงการสำหรับผู้สูงอายุ โครงการขนาดกะทัดรัดสำหรับคนโสด/ครอบครัวขนาดเล็ก และโครงการที่มีพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์การพักผ่อนและทำงาน
ความยั่งยืนและเทคโนโลยี (ESG & PropTech): ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มากขึ้น โครงการที่เน้นการประหยัดพลังงาน การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมกับชุมชน จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ นอกจากนี้ อสังหาฯ ดิจิทัล และ PropTech เช่น ระบบสมาร์ทโฮม การใช้ AI ในการออกแบบและบริหารจัดการ จะไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและลดต้นทุนในระยะยาว

โอกาสการลงทุนและกลยุทธ์สำหรับปี 2568:

ตลาดลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรี: ยังคงเป็นเซกเมนต์ที่แข็งแกร่ง มีกำลังซื้อสูงและได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจน้อยกว่า ตลาดนี้จะเติบโตจากการลงทุนของกลุ่มคนรวยทั้งไทยและต่างชาติ
โครงการมิกซ์ยูส: โครงการที่ผสมผสานที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก สำนักงาน และโรงแรมเข้าไว้ด้วยกัน ยังคงเป็นที่ต้องการ เพราะตอบโจทย์ความสะดวกสบายและไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร
อสังหาริมทรัพย์ในทำเลศักยภาพใหม่: พื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย หรือเมืองรองที่มีศักยภาพการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม จะเป็นเป้าหมายของนักลงทุนที่มองหา โอกาสลงทุนอสังหาฯ ที่มีอัตราการเติบโตสูง
อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม: การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนจากต่างประเทศจะหนุนความต้องการคลังสินค้า โรงงาน และพื้นที่สำนักงานเกรดพรีเมียม
การปรับปรุงและรีโนเวท: แทนที่จะสร้างใหม่ทั้งหมด การปรับปรุงอาคารเก่าให้ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานใหม่ๆ อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าในภาวะที่ต้นทุนก่อสร้างสูง

บทสรุปและก้าวต่อไป

ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการพิสูจน์ความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น และวิสัยทัศน์ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างแท้จริง ผู้ที่สามารถถอดรหัสบทเรียนจากปีที่ผ่านมา ปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับบริบทของตลาดที่เปลี่ยนไป และมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ พร้อมการบริหารจัดการการเงินที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นผู้ที่ยืนหยัดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงมีศักยภาพและโอกาสซ่อนอยู่มากมาย เพียงแต่ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และการตัดสินใจที่แม่นยำเพื่อคว้าโอกาสนั้นไว้ หากคุณกำลังมองหา การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือต้องการข้อมูลเชิงลึกสำหรับการวางแผนธุรกิจในยุค 2568 อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อติดอาวุธให้คุณพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายและคว้าทุกโอกาสในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง

Previous Post

เผยสาเหตุหนี้ 3,000 ล้านบาทของ JKN พร้อมโต้กระแสข่าวที่ว่า ‘แอน จักรพงษ์’ หอบเงิน 6,000 ล้านบาทหลบหนี

Next Post

กู้ภัยเผยเคสสะเทือนใจ ครอบครัว 5 ชีวิตติดอยู่ในบ้านนาน 4 วัน ไม่มีอาหารและหมดแรงร้องขอความช่วยเหลือ สุดท้ายแม่เสียชีวิตไม่นานก่อนเจ้าหน้าที่ฝ่าน้ำเชี่ยวเข้าไปช่วยได้สำเร็จ

Next Post
กู้ภัยเผยเคสสะเทือนใจ ครอบครัว 5 ชีวิตติดอยู่ในบ้านนาน 4 วัน ไม่มีอาหารและหมดแรงร้องขอความช่วยเหลือ สุดท้ายแม่เสียชีวิตไม่นานก่อนเจ้าหน้าที่ฝ่าน้ำเชี่ยวเข้าไปช่วยได้สำเร็จ

กู้ภัยเผยเคสสะเทือนใจ ครอบครัว 5 ชีวิตติดอยู่ในบ้านนาน 4 วัน ไม่มีอาหารและหมดแรงร้องขอความช่วยเหลือ สุดท้ายแม่เสียชีวิตไม่นานก่อนเจ้าหน้าที่ฝ่าน้ำเชี่ยวเข้าไปช่วยได้สำเร็จ

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • เคน ภูภูมิ ขอไม่เปิดเผยตัวเลขความเสียหายคาเฟ่ที่หาดใหญ่ ยืนยันสู้ต่อ เดินหน้าฟื้นฟูและปรับปรุงร้านใหม่
  • ‘จ๊ะ นงผณี’ เปิดพฤติกรรม ‘ผู้ชาย 3 ประเภท’ ที่มักโผล่ในข่าวฉาว เตือนสาวๆ ถ้าเจอแบบนี้ให้รีบหนีทันที!
  • “นายกฯ” นำคณะลงพื้นที่สงขลา–สตูล ถกแผนฟื้นฟูหลังน้ำท่วม พร้อมปฏิเสธตอบดราม่า นายกฯ อบจ.สงขลา ดูแคลน อส.
  • “กุญแจซอล” คุณแม่ลูก 5 เปิดภาพครอบครัวสุดอบอุ่น รายล้อมด้วยสามีและลูกๆ ทั้งหมด ดูมีความสุขสุดๆ
  • เช็กสถานะรับเงินเยียวยาน้ำท่วม 2568! เปิดขั้นตอนลงทะเบียนครบถ้วน พร้อม 4 รูปแบบการจ่ายเงินให้ผู้ประสบอุทกภัย

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.