เพจ Hello Anniverse แจ้งข่าว ทีมผู้บริหาร JKN ชี้แจงข่าว “แอน จักรพงษ์” หอบเงิน 6 พันล้านหนี ไม่จริง พร้อมเผยสาเหตุหนี้สิน JKN 3 พันล้านบาท เกิดจากอะไร
ออกมาชี้แจงแล้ว.. ก่อนหน้านี้มีข่าวลือสะพัดว่า “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” หอบเงินกว่า 6 พันล้านบาทไทย ไปแปลงเป็นโทเคน หรือคริปโตเคอเรนซี่ และหนีไปอยู่ที่ประเทศเม็กซิโก โดยได้สัญชาติเม็กซิโก ผ่านการอนุเคราะห์ของนาย “ราอูล โรชา คานตู” นักธุรกิจชาวเม็กซิกันในฐานะประธาน Miss Universe
ล่าสุด “เพจ Hello Anniverse” ได้โพสต์คลิปชี้แจงว่า.. จากกระแสข่าวที่มีในโลกออนไลน์ ทีมผู้บริหาร JKN ข้อชี้แจงว่า ประเด็นเงินจำนวน 6 พันล้านบาท ไม่ตรงกับความเป็นจริง ปัจจุบันหนี้สินของทาง JKN อยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาท แบ่งออกเป็นเจ้าหนี้หุ้นกู้ และหนี้ระหว่างบริษัท ซึ่งการรวมตัวเลขเหล่านี้ทำให้ตัวเลขดูสูงกว่าความเป็นจริง

สำหรับเงินทุนจากหุ้นกู้ ที่ JKN ได้รับมานั้น เพจ Hello Universe ชี้แจงว่า ถูกนำไปลงทุน และสนับสนุนงานของ JKN ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้การบริหารเกิดการคลาดของกระแสเงินสด ส่งผลให้ JKN ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ในส่วนของคดีความที่ถูกกล่าวโทษอยู่ในระหว่างการสอบสวน
พร้อมแนบแคปชั่น “ชี้แจงข้อเท็จจริงจาก JKN ทีมผู้บริหารขอชี้แจงกรณีข่าวลือเกี่ยวกับบริษัท ดังนี้:
- ข้อมูลเรื่องเงิน และการโอนคริปโต ไม่เป็นความจริง
- การชำระหนี้ล่าช้าเกิดจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวและความคลาดเคลื่อนของกระแสเงินสด ไม่ใช่การทุจริต
- คดีความกับหน่วยงานรัฐอยู่ระหว่างการสอบสวน และยังไม่ถือเป็นการกระทำผิด
- JKN ยืนยันการดำเนินธุรกิจอย่าง โปร่งใส พร้อมความร่วมมือกับทุกฝ่าย
ขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณ และให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย”
ถอดรหัสอนาคตอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568: กลยุทธ์พิชิตตลาดผันผวนและโอกาสทองของนักลงทุน
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นทั้งช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์และความท้าทายที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ช่วงปี 2566 ถือเป็นอีกบทพิสูจน์ความแกร่งที่หลายฝ่ายต้องเผชิญกับบทเรียนอันขมขื่น ไม่ว่าจะเป็นภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง กำลังซื้อที่หดหาย และอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงกดดัน บรรยากาศเช่นนี้ลากยาวมาจนถึงปี 2567 และกำลังปูทางสู่ปี 2568 ที่ไม่ใช่แค่ “ปีแห่งความท้าทาย” แต่เป็น “ปีแห่งการปรับกระบวนทัพ” ครั้งสำคัญ
ปี 2568 นี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ผู้เล่นในตลาดต้องมีกลยุทธ์ที่คมชัดกว่าเดิม ปรับตัวเร็วกว่าที่เคย และมองหาโอกาสที่ซ่อนอยู่ในวิกฤติต่างๆ ผู้ประกอบการที่ยังยึดติดกับโมเดลเดิมๆ อาจต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่สำหรับผู้ที่พร้อมจะวิเคราะห์ เรียนรู้ และลงทุนในนวัตกรรม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 จะยังคงมี “โอกาสทอง” รออยู่เสมอ
ภูมิทัศน์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568: ปัจจัยขับเคลื่อนและแรงกดดัน
การทำความเข้าใจภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 จำเป็นต้องพิจารณาจากปัจจัยมหภาคหลายด้านที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุปสงค์และอุปทาน:
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมหภาค: เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แรงหนุนหลักมาจากการกลับมาของภาคการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งขึ้น และการส่งออกที่คาดว่าจะกลับมาเป็นบวก หากรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นการลงทุนในทำเลศักยภาพต่างๆ อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ GDP อาจยังไม่โดดเด่นนัก ทำให้กำลังซื้อโดยรวมยังคงเปราะบางในบางเซ็กเมนต์
อัตราดอกเบี้ยและสินเชื่อที่อยู่อาศัย: แม้จะมีสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจเริ่มทรงตัวหรือมีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 แต่ภาระดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านยังคงเป็นปัจจัยกดดันหลักต่อกำลังซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อระดับกลางถึงล่าง สถาบันการเงินยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ดังนั้น “สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย” จะยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต้องให้ความสำคัญ
หนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อ: นี่คือหัวใจสำคัญของความท้าทายตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยยังคงสูง ซึ่งจำกัดความสามารถในการก่อหนี้ใหม่ของผู้บริโภคจำนวนมาก การแก้ปัญหานี้ต้องใช้เวลาและนโยบายที่บูรณาการ ทำให้ผู้พัฒนาต้องมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง หรือพัฒนาโครงการที่เน้น “ราคาที่เข้าถึงได้” ควบคู่ไปกับการเสนอแพ็กเกจสินเชื่อที่น่าสนใจ
กำลังซื้อจากต่างชาติและการท่องเที่ยว: ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2568 จะนำมาซึ่งกำลังซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมหรูและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในเมืองท่องเที่ยวหลักๆ เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา ตลาดคอนโดกรุงเทพฯ จะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากความต้องการของชาวต่างชาติที่กลับเข้ามาอยู่อาศัยและทำงาน รวมถึงการมองหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ให้ Yield อสังหาริมทรัพย์ ที่น่าสนใจ
นโยบายรัฐบาลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะ “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม การติดตามนโยบายและมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐอย่างใกล้ชิด จะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน
การวิเคราะห์ผลงานจากบทเรียนปี 2566 สู่กลยุทธ์ 2568: ถอดรหัสผู้ชนะตัวจริง
จากการเก็บข้อมูลบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ กว่า 40 แห่งในปี 2566 Property Mentor ได้เห็นถึงผลประกอบการที่สะท้อนถึงความท้าทายอย่างแท้จริง รายได้รวมของทั้งอุตสาหกรรมลดลงเล็กน้อย และที่น่าตกใจคือมีบริษัทจำนวนมากที่รายได้และกำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ท่ามกลางความผันผวนนี้ ยังมี “ผู้ชนะตัวจริง” ที่สามารถฝ่ามรสุมไปได้ ซึ่งบทเรียนเหล่านี้จะเป็นแสงนำทางสำหรับกลยุทธ์ในปี 2568
รายได้รวม: วัดพลังทุนและการปรับตัว
ปี 2566 ได้ชี้ให้เห็นว่าบริษัทที่มีรายได้รวมติดลบจำนวนมาก มักเป็นบริษัทที่พึ่งพิงการขายโครงการใหม่เป็นหลัก และเมื่อตลาดชะลอตัว ย่อมส่งผลกระทบโดยตรง แต่ในทางกลับกัน บริษัทที่ยังคงรักษาการเติบโตของรายได้ได้ดี เช่น แสนสิริ และ เอพี (ไทยแลนด์) ไม่ได้พึ่งพิงแค่ยอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีกลยุทธ์การบริหารพอร์ตโฟลิโอที่ชาญฉลาดและการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสินทรัพย์อื่นๆ
แนวโน้ม 2568: ผู้ประกอบการจะหันมาให้ความสำคัญกับ “กลยุทธ์กระจายความเสี่ยง” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใน “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน” ที่สร้าง “รายได้ประจำ” เช่น อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ (คอมมูนิตี้มอลล์, ออฟฟิศให้เช่า) โรงแรม หรือแม้กระทั่งการให้บริการ “Property Management” ที่สร้างรายได้ค่าธรรมเนียมอย่างต่อเนื่อง บริษัทที่มีความสามารถในการบริหารจัดการสินทรัพย์หลากหลายประเภท จะเป็นผู้ได้เปรียบ และสามารถรักษาระดับรายได้รวมให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้
รายได้จากการขาย: หัวใจของการสร้างการเติบโตในสภาวะท้าทาย
ปี 2566 เป็นปีที่ “รายได้จากการขาย” ของหลายบริษัทลดลงอย่างน่าตกใจ สะท้อนถึงกำลังซื้อที่หายไปและการแข่งขันที่รุนแรง บริษัทอย่าง ไรมอน แลนด์, แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ หรือแม้แต่ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ก็ยังได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่ในทางกลับกัน เอพี (ไทยแลนด์) ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำด้านยอดขายไว้ได้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและการพัฒนาโครงการที่ตรงใจ
แนวโน้ม 2568: “การตลาดอสังหาริมทรัพย์ดิจิทัล” จะไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ การใช้ “เทคโนโลยี PropTech” เช่น AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและพฤติกรรมการซื้อ, VR/AR ในการนำเสนอโครงการเสมือนจริง, และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับการจองและซื้อขาย จะเข้ามามีบทบาทอย่างมาก
ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม: ตลาดไม่ได้ต้องการบ้านที่เหมือนกันอีกต่อไป ผู้พัฒนาต้องเข้าใจความต้องการที่หลากหลาย เช่น “คอนโดมิเนียมหรู” ที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน, “บ้านเดี่ยวทำเลทอง” สำหรับครอบครัวขนาดใหญ่, หรือ “บ้านอัจฉริยะ” ที่รองรับการใช้ชีวิตในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีตลาดเฉพาะอย่าง “อสังหาริมทรัพย์ผู้สูงอายุ” และ Co-living/Co-working spaces ที่จะเติบโตขึ้น
การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง: การลดสต็อกค้างและระบายยูนิตที่เหลือ จะยังคงเป็นภารกิจสำคัญ การจัดโปรโมชั่นที่เข้าถึงใจลูกค้าและสร้างมูลค่าที่แท้จริง จะช่วยกระตุ้นยอดขายได้
ทำเลศักยภาพ: การเลือกทำเลที่ตั้งโครงการยังคงเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ หรืออยู่ในศูนย์กลางธุรกิจและคมนาคม
กำไรสุทธิ: บทพิสูจน์ความสามารถในการทำกำไรและบริหารจัดการ
แม้จะมียอดขายดี แต่หากมีกำไรสุทธิน้อยหรือไม่เหลือเลย ย่อมไม่ถือเป็นผู้ชนะตัวจริง ปี 2566 กำไรสุทธิรวมของทั้งอุตสาหกรรมลดลงถึง 11% และมีบริษัทกว่า 12 แห่งที่ประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง สะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารจัดการต้นทุนและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ยังคงเป็นผู้นำด้านกำไรสุทธิในปี 2566 ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอและสร้างมูลค่าเพิ่มจากสินทรัพย์อื่นๆ เช่น การขายโรงแรมเข้ากองทุน ขณะที่ ศุภาลัย และ AP (ไทยแลนด์) ก็ยังคงทำกำไรได้ดี แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
แนวโน้ม 2568:
ประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบริหารจัดการต้นทุน: การลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น, การใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่ม Productivity ในกระบวนการก่อสร้างและการบริหารจัดการโครงการ จะเป็นกุญแจสำคัญ การบริหารจัดการหนี้อย่างรัดกุมและการรักษาสภาพคล่องทางการเงิน จะช่วยให้บริษัทอยู่รอดได้ในสภาวะที่ท้าทาย
การลงทุนที่เน้นผลตอบแทนสูง: การเลือกพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพในการทำกำไรสูง หรือการลงทุนใน “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน” ที่ให้ “Yield อสังหาริมทรัพย์” ที่น่าสนใจ จะเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ
ความยั่งยืน (Sustainability): การพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ “Green Building” ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์ แต่ยังช่วยลดต้นทุนพลังงานในระยะยาว และเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการในสายตานักลงทุนและผู้บริโภคที่ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แนวคิด ESG ในอสังหาริมทรัพย์ จะถูกนำมาปรับใช้มากขึ้นเรื่อยๆ
โอกาสทองและเทรนด์ใหม่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568
นอกเหนือจากความท้าทาย ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 ยังเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ที่มองเห็นและกล้าที่จะคว้าไว้:
อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ (Wellness & Elderly Living): ด้วยสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ ความต้องการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพ สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ และบริการทางการแพทย์ จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด นี่คือเมกะเทรนด์ที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม
อสังหาริมทรัพย์สีเขียวและยั่งยืน (Green & Sustainable Real Estate): ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อนจะผลักดันให้เกิดความต้องการโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้พัฒนาที่ลงทุนในการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานทางเลือก หรือวัสดุรีไซเคิล จะสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูดกลุ่มลูกค้าและนักลงทุนที่ใส่ใจ
การพัฒนาแบบผสมผสาน (Mixed-Use Development): โครงการที่รวมที่อยู่อาศัย, พื้นที่เชิงพาณิชย์, ออฟฟิศ, และพื้นที่สันทนาการเข้าไว้ด้วยกันในทำเลศักยภาพ จะยังคงเป็นที่ต้องการของคนเมืองที่มองหาความสะดวกสบายและไลฟ์สไตล์ที่ครบครัน
PropTech และ AI ในอสังหาริมทรัพย์: การนำ “เทคโนโลยี PropTech” เข้ามาใช้ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การออกแบบ, ก่อสร้าง, การตลาด, การขาย ไปจนถึงการบริหารจัดการทรัพย์สิน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับประสบการณ์ลูกค้า การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลและช่วยในการตัดสินใจ “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความได้เปรียบ
ทำเลศักยภาพใหม่ๆ: การขยายตัวของเมืองและโครงข่ายคมนาคม (รถไฟฟ้า, มอเตอร์เวย์) จะสร้าง “ทำเลศักยภาพ” ใหม่ๆ ให้กับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ชานเมืองที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ และเมืองรองที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน: นอกจากโครงการที่อยู่อาศัยแล้ว การลงทุนใน “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REIT)” หรือ “Private Equity” ที่เน้นอสังหาริมทรัพย์ จะยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและกระจายความเสี่ยง
ความท้าทายที่ต้องจับตาในปี 2568
แม้จะมีโอกาส แต่ปี 2568 ก็ยังคงมาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ:
หนี้ครัวเรือนสูงและกำลังซื้อที่จำกัด: ยังคงเป็นแรงกดดันหลัก โดยเฉพาะในตลาดระดับกลางถึงล่าง
ภาวะ Over Supply ในบางเซ็กเมนต์: โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมบางทำเลที่ยังคงมีซัพพลายคงค้างจำนวนมาก
ต้นทุนการพัฒนาที่ดินและก่อสร้าง: ยังคงเพิ่มขึ้นจากราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงาน
กฎระเบียบและภาษีอสังหาริมทรัพย์: การปรับปรุงกฎหมาย เช่น “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการถือครองและการพัฒนา
การแข่งขันที่รุนแรง: ทั้งจากผู้ประกอบการรายใหญ่และรายกลางที่ต่างต้องเร่งปรับตัว
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ: กลยุทธ์พิชิตตลาด 2568
จากประสบการณ์ในวงการ ผมขอเสนอแนวทางกลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน เพื่อพิชิตตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568:
การบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโออย่างชาญฉลาด: Diversify สินทรัพย์ให้หลากหลาย ไม่พึ่งพิงรายได้จากการขายเพียงอย่างเดียว แต่ควรมองหาการลงทุนใน “อสังหาฯ เพื่อการลงทุน” ที่สร้าง “รายได้ประจำ” หรือมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว
นวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยี: “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันอสังหาฯ” ไม่ใช่แค่คำศัพท์ แต่คือการลงมือทำอย่างจริงจัง Embracing “PropTech” “AI ในอสังหาฯ” และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) จะช่วยให้เข้าใจลูกค้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างแม่นยำ
การสร้าง Customer Centricity: เข้าใจความต้องการและความเปลี่ยนแปลงของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม (Personalization) และสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้าตลอดเส้นทางการซื้อ
ความยืดหยุ่นและความคล่องตัว (Agility): สถานการณ์ตลาดเปลี่ยนแปลงเร็ว ผู้ประกอบการต้องพร้อมปรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองต่อโอกาสและความท้าทายที่เกิดขึ้น
การร่วมมือและสร้างพันธมิตร (Partnership): การร่วมทุนกับผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ หรือการร่วมมือกับสถาบันการเงินและผู้ค้าปลีก สามารถช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มศักยภาพในการพัฒนา และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้
การสร้างแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและยั่งยืน: ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารท่วมท้น การสร้างแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีธรรมาภิบาล และให้ความสำคัญกับ “ความยั่งยืนอสังหาฯ” (ESG) จะเป็นสิ่งสำคัญที่สร้างความแตกต่างและดึงดูดลูกค้าและนักลงทุนในระยะยาว
บทสรุปและคำเชิญชวน
ปี 2568 จะเป็นอีกปีที่เต็มไปด้วยบททดสอบสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย แต่ในทุกความท้าทายย่อมมี “โอกาสทอง” ซ่อนอยู่เสมอ สำหรับผู้ที่พร้อมจะเรียนรู้ ปรับตัว และนำกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดมาใช้ ผู้ประกอบการและนักลงทุนจะสามารถสร้างความได้เปรียบและคว้าชัยชนะในตลาดที่ผันผวนนี้ได้
หากคุณเป็นนักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยและต้องการคำแนะนำเชิงลึก รวมถึงการวิเคราะห์เฉพาะทางเกี่ยวกับ “แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ 2568” และ “กลยุทธ์อสังหาฯ” ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ เพื่อไม่พลาดทุกโอกาสสำคัญในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โปรดติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญของเราได้วันนี้.

