น้ำท่วมสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เทศบาลฯ ประกาศเตือนพื้นที่เสี่ยงอพยพด่วน หลังเกิดน้ำท่วมฉับพลัน เพื่อความปลอดภัย
วันที่ 26 พ.ย. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ใน จ.นราธิวาส ว่าบรรยากาศโดยทั่วไปยังคงมีฝนตกลงมาปกคลุมพื้นที่ทั้ง 13 อำเภอ และตกเป็นช่วงๆ ในบางพื้นที่ และปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในพื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอแว้ง ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำโก-ลก มีปริมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ อ.แว้ง มีการติดตั้งธงสีเหลืองเพื่อส่งสัญญาณเตือนให้ประชาชน ที่อาศัยอยู่บริเวณตลอดแนวริมตลิ่ง ได้เตรียมอพยพสิ่งของสัมภาระที่จำเป็นหนีระดับน้ำท่วมขัง ซึ่งล่าสุดปริมาณน้ำในแม่น้ำโก-ลก มีระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่งเพียง 0.35 เมตร
ขณะที่ โครงการชลประทานนราธิวาส ขอแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำโก-ลก ฉบับที่ 2 (เฝ้าระวัง) โดยระบุว่า โครงการชลประทานนราธิวาสขอแจ้งเตือนประชาชน ในพื้นที่อำเภอสุไหงปาดี และบริเวณริมแม่น้ำโก-ลก ตั้งแต่อำเภอแว้งลงมา ในเขตอำเภอสุไหงโก-ลก เขตเทศบาลสุไหงโก-ลก ตลาดบ้านมูโนะตำบลมูโนะ และอำเภอตากใบ เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ออกประกาศแจ้งเตือนอพยพด่วน หลังเกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน ในหลายพื้นที่ ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ำสุไหงโก-ลก รีบอพยพทันที เพื่อความปลอดภัยของท่านและครอบครัว ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือไม่สามารถอพยพได้เอง สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทีมพร้อมสนับสนุนเต็มกำลัง
พร้อมเปิดศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อุทกภัย (War Room) เพื่อประสานความช่วยเหลือ และติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง หากต้องการความช่วยเหลือ หรือจำเป็นต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ทันที ทีมพร้อมให้การช่วยเหลือตลอดเวลา สายด่วนศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อุทกภัย โทร 093-3366-056 งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลฯ โทร 073-611007 หรือ 073-612199

เจาะลึกอนาคตอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568: ใครคือผู้พลิกเกมและผู้นำตลาดในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง?
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการและความท้าทายมากมายที่ภาคธุรกิจนี้ต้องเผชิญ ตั้งแต่ช่วงเวลาทองของการเติบโตไปจนถึงมรสุมทางเศรษฐกิจที่ถาโถมเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 2566-2567 ที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หนี้ครัวเรือนที่ยังคงเป็นแรงกดดัน กำลังซื้อของผู้บริโภคที่เปราะบาง และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทว่าเมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2568 ท่ามกลางเมฆหมอกแห่งความท้าทาย เราเริ่มมองเห็นแสงสว่างแห่งโอกาสใหม่ๆ ที่กำลังจะผลิดอกออกผล ผู้ประกอบการรายใดที่มีวิสัยทัศน์เฉียบคมและกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น จะสามารถคว้าโอกาสนี้และก้าวขึ้นเป็น “ผู้ชนะตัวจริง” ในสมรภูมิ อสังหาริมทรัพย์ไทย 2568 นี้ได้
ปี 2568 ไม่ใช่ปีของการดำเนินธุรกิจแบบเดิมๆ อีกต่อไป แต่เป็นปีที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์เจาะลึก การปรับตัวอย่างรวดเร็ว และการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงการรับมือกับปัจจัยมหภาคที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง บทความนี้จะพาท่านเจาะลึกถึงแนวโน้มสำคัญ กลยุทธ์ที่น่าจับตา และศักยภาพของเหล่าผู้เล่นหลักในตลาด การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ของไทย เพื่อมองหาทิศทางที่ชัดเจนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ภาพรวมเศรษฐกิจและปัจจัยขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดการณ์ว่าจะยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากแรงหนุนของการกลับมาของภาคการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการส่งออกที่เริ่มมีสัญญาณบวก อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่สูงยังคงเป็นตัวฉุดรั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคในบางกลุ่ม โดยเฉพาะตลาดระดับกลาง-ล่าง ทำให้ผู้ประกอบการต้องหันมาให้ความสำคัญกับ ที่อยู่อาศัยราคาเข้าถึงได้ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าอย่างแท้จริง
อัตราดอกเบี้ย: แม้มีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับลดลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ต้นทุนทางการเงินยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการและผู้ซื้อต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ สินเชื่อที่อยู่อาศัย จะยังคงเข้มงวดในบางธนาคาร โดยเฉพาะสำหรับผู้กู้ที่มีภาระหนี้สูง
นโยบายภาครัฐ: นโยบายรัฐบาลอสังหาฯ มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นตลาด ทั้งมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง การส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ และโครงการเมกะโปรเจกต์ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและมอเตอร์เวย์ ซึ่งจะช่วยสร้างทำเลทองใหม่ๆ และกระจายความเจริญสู่พื้นที่รอบนอก
การท่องเที่ยว: การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยเป็นปัจจัยหลักที่หนุนนำตลาด อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และคอนโดมิเนียมเพื่อเช่าระยะสั้น ซึ่งจะดึงดูด ต่างชาติซื้ออสังหาฯ กลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่
เทรนด์ประชากรและสังคม: สังคมสูงวัย การอยู่อาศัยแบบครอบครัวเดี่ยวเล็กลง และความต้องการพื้นที่อเนกประสงค์ที่รองรับการทำงานจากบ้าน (Work From Home) ยังคงเป็น แนวโน้มอสังหาฯ ที่สำคัญ ซึ่งส่งผลต่อการออกแบบและฟังก์ชันของที่อยู่อาศัยในอนาคต
ถอดบทเรียนจากปีที่ผ่านมา: ผลประกอบการผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำปี 2566-2567 สู่ทิศทางปี 2568
เพื่อทำความเข้าใจภูมิทัศน์ของปี 2568 เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปพิจารณา ผลประกอบการบริษัทอสังหาฯ ในช่วงปี 2566-2567 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก ทำให้เห็นภาพว่าใครคือผู้ที่แข็งแกร่งและปรับตัวได้ดี
ในปี 2566 ภาคอสังหาริมทรัพย์โดยรวมมีรายได้หดตัวเล็กน้อย ทว่าเมื่อเจาะลึกลงไปในแต่ละบริษัทจะพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ประกอบการบางรายสามารถสร้างการเติบโตได้สวนกระแส ขณะที่บางรายต้องเผชิญกับยอดขายและกำไรที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้ที่สามารถประคองตัวและเติบโตได้ในช่วงเวลาดังกล่าว มักเป็นผู้ที่มีความสามารถในการบริหารจัดการกระแสเงินสดที่ดี มีพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย และสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดได้อย่างรวดเร็ว
รายได้รวม: ผู้ที่ยืนหยัดในพายุหมุน
จากการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องของกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ พบว่าในปี 2567 ผู้ประกอบการที่โดดเด่นจากปี 2566 และยังคงรักษาระดับการเติบโตได้ดี มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้นำด้านรายได้รวมในปี 2568 โดยเฉพาะบริษัทที่ปรับตัวไปสู่โครงการที่มีอัตรากำไรดีขึ้น หรือมีการกระจายความเสี่ยงไปสู่ธุรกิจให้เช่าและบริการ
แสนสิริ (Sansiri): หลังจากโชว์ฟอร์มการเติบโตที่แข็งแกร่งในปี 2566 ด้วยรายได้รวมที่พุ่งสูง การปรับตัวสู่โครงการหรูและโครงการแนวราบที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่ม ทำให้แสนสิริยังคงเป็นหนึ่งในผู้ที่มีแนวโน้มรักษาส่วนแบ่งตลาดและรายได้รวมได้ดีในปี 2568 พร้อมกลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ
เอพี (ไทยแลนด์) (AP (Thailand)): เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีศักยภาพสูงในการสร้างรายได้รวม โดยเฉพาะจากความเชี่ยวชาญในตลาด คอนโดมิเนียม และ บ้านเดี่ยว ที่หลากหลายระดับราคา การบริหารจัดการพอร์ตสินค้าและยอดขายล่วงหน้าที่แข็งแกร่งจะเป็นกุญแจสำคัญ
ศุภาลัย (Supalai): ยังคงเป็นผู้เล่นที่น่าจับตา ด้วยฐานลูกค้าที่มั่นคงและพอร์ตสินค้าที่ครอบคลุม การปรับปรุงกระบวนการก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพและควบคุมต้นทุนได้ดี จะช่วยหนุนรายได้รวมให้เติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2568
ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่มีแนวโน้มจะกลับมาผงาด หรือรักษาตำแหน่งในกลุ่มผู้นำด้านรายได้รวมได้ดี ได้แก่ SC Asset, พฤกษา โฮลดิ้ง และ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งต่างก็มีกลยุทธ์การตลาดและการพัฒนาโครงการที่โดดเด่นและแตกต่างกันไป
รายได้จากการขาย: วัดกันที่แก่นของธุรกิจ
รายได้จากการขายคือหัวใจสำคัญที่สะท้อนถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอย่างแท้จริง เพราะเป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงความสามารถในการแปลงสินค้าคงคลังให้เป็นเงินสด การวิเคราะห์ในปี 2567 และการคาดการณ์สำหรับปี 2568 ชี้ให้เห็นว่า ผู้ประกอบการที่ “ขายเก่ง” และสามารถปิดการขายได้รวดเร็ว จะเป็นผู้ที่กุมความได้เปรียบในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
เอพี (ไทยแลนด์): จากตำแหน่งแชมป์ด้านยอดขายในปี 2566 เอพีมีแนวโน้มที่จะรักษาสถานะผู้นำด้านรายได้จากการขายในปี 2568 ได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในกลุ่ม บ้านเดี่ยวราคาแพง และทาวน์โฮมที่มีทำเลศักยภาพสูง
แสนสิริ: ด้วยการปรับกลยุทธ์การขายที่เน้นการสร้างประสบการณ์ลูกค้าและแคมเปญที่ดึงดูดใจ แสนสิริคาดว่าจะยังคงทำยอดขายได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มโครงการระดับบนและโครงการที่มีดีไซน์เฉพาะตัว
ศุภาลัย: ยังคงเป็นผู้เล่นที่รักษามาตรฐานด้านยอดขายได้อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการเน้นตลาดแนวราบและแนวสูงที่มีราคาจับต้องได้ และการขยายตลาดไปยังหัวเมืองรองที่มีศักยภาพ
นอกจากนี้ SC Asset และ พฤกษา โฮลดิ้ง ก็เป็นอีกสองบริษัทที่มีความสามารถในการสร้างยอดขายที่น่าจับตา โดยเฉพาะ SC Asset ที่มีการเติบโตที่โดดเด่นในกลุ่มโครงการหรูและโครงการแนวราบที่เน้นคุณภาพ ส่วนพฤกษา โฮลดิ้ง ก็มุ่งเน้นการสร้างบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัวยุคใหม่
บริษัทที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ซึ่งแม้จะเป็นผู้เล่นที่เข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายได้ไม่นาน แต่ก็มีการเติบโตของรายได้จากการขายอย่างก้าวกระโดด ด้วยจุดแข็งของการเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ในทำเลทองและการพัฒนาโครงการแบบ Mixed-Use ที่ครบวงจร ทำให้ CPN มีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงแถวหน้าในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในปี 2568 และต่อๆ ไป
กำไรสุทธิ: ผู้ชนะที่แท้จริง
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจคือ “กำไรสุทธิ” ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน การตั้งราคา และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ ในปี 2566-2567 ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาเรื่องอัตรากำไรที่ลดลงจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและสงครามราคา แต่ในปี 2568 ผู้ที่สามารถสร้างกำไรสุทธิได้อย่างยั่งยืน จะเป็น ผู้ชนะตลาดอสังหาฯ ที่แท้จริง
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (Land & Houses): แม้ยอดขายอาจไม่ได้หวือหวาเท่ารายอื่น แต่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ยังคงเป็นผู้นำด้านกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโออย่างชาญฉลาด การมีรายได้ประจำจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า และการปรับกลยุทธ์การขายสินทรัพย์ที่มีศักยภาพเข้ากองทุน ทำให้ Land & Houses มีความสามารถในการทำกำไรที่เหนือกว่าคู่แข่งและจะยังคงเป็นตัวอย่างของความมั่นคงทางการเงินในปี 2568
ศุภาลัย: ด้วยโมเดลธุรกิจที่เน้นการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม และการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ศุภาลัยยังคงรักษาอัตรากำไรที่ดี และมีแนวโน้มที่จะเป็นหนึ่งในผู้สร้างกำไรสูงสุดในปี 2568
เอพี (ไทยแลนด์) และ แสนสิริ: ทั้งสองบริษัทนี้มีความสามารถในการทำกำไรที่น่าประทับใจ ด้วยขนาดธุรกิจที่ใหญ่และกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง หากสามารถรักษาสมดุลระหว่างยอดขายและต้นทุนได้ดี ก็มีศักยภาพที่จะสร้างกำไรสุทธิในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง
ผู้ประกอบการอย่าง SC Asset, ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, ควอลิตี้ เฮ้าส์ และ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ก็ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญที่มีศักยภาพในการทำกำไร โดยแต่ละรายต่างมีจุดแข็งและกลยุทธ์เฉพาะตัวในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและผู้ถือหุ้น
พลิกโฉมภูมิทัศน์: เทรนด์อสังหาริมทรัพย์เด่นชัดในปี 2568
ปี 2568 ไม่เพียงแต่เป็นปีแห่งการฟื้นตัว แต่ยังเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความยั่งยืน และความต้องการของผู้บริโภคที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการที่เข้าใจและปรับตัวเข้ากับ แนวโน้มอสังหาฯ เหล่านี้ได้ก่อน ย่อมได้เปรียบ
ความยั่งยืนและ ESG ในอสังหาริมทรัพย์: แนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็นมาตรฐานใหม่ในการพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน ผู้บริโภคและนักลงทุนต่างมองหาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการออกแบบที่ช่วยประหยัดพลังงาน และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน ผู้ประกอบการชั้นนำหลายรายเริ่มนำร่องสร้างอาคารสีเขียวและใช้พลังงานทางเลือก ซึ่งจะกลายเป็นจุดขายสำคัญ
PropTech และการเข้าถึงดิจิทัล: เทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการซื้อขาย การบริหารจัดการ และการสร้างประสบการณ์ลูกค้า ตั้งแต่การใช้ VR/AR ในการชมโครงการเสมือนจริง การทำสัญญาออนไลน์ ระบบสมาร์ทโฮม ไปจนถึงการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดเพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำยิ่งขึ้น การลงทุนใน PropTech ไทย จึงเป็นสิ่งจำเป็น
โครงการ Mixed-Use และ Urbanization: การพัฒนา โครงการ Mixed-Use ที่ผสมผสานฟังก์ชันที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก สำนักงาน และพื้นที่ไลฟ์สไตล์เข้าไว้ด้วยกันในบริเวณเดียว จะยังคงเป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบายและการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน
ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Markets) ที่เติบโต: นอกจากตลาดหลักแล้ว ตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น ที่พักสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Living) โครงการที่เน้นสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness Residence) โครงการที่อยู่อาศัยที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าได้ (Pet-friendly Condo) หรือ Co-living/Co-working spaces จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการสร้างมูลค่าเพิ่มและตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย
การขยายตัวสู่หัวเมืองรองและปริมณฑล: ด้วยราคา ที่ดินในกรุงเทพฯ ที่สูงขึ้นและความหนาแน่นของประชากร ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะหันไปให้ความสำคัญกับการขยายโครงการในหัวเมืองรองที่มีศักยภาพและจังหวัดในปริมณฑลมากขึ้น โดยมีโครงข่ายคมนาคมที่สะดวกสบายเป็นปัจจัยสนับสนุน
การลงทุนจากต่างชาติที่กลับมา: หลังการเปิดประเทศเต็มรูปแบบและนโยบายที่เอื้ออำนวยมากขึ้น คาดว่าจะมีนักลงทุนต่างชาติกลับมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในทำเลท่องเที่ยวและย่านธุรกิจ
กลยุทธ์ผู้ประกอบการเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนในปี 2568
เพื่อให้เป็น ผู้ชนะตลาดอสังหาฯ ในปี 2568 ผู้ประกอบการต้องปรับเปลี่ยน กลยุทธ์ผู้ประกอบการอสังหาฯ โดยให้ความสำคัญกับสิ่งต่อไปนี้:
ความยืดหยุ่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Agile Development): การออกแบบโครงการที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันและขนาดได้ตามความต้องการของลูกค้าและสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
การบริหารจัดการเงินทุนและกระแสเงินสดอย่างรัดกุม (Cash Flow Management): ในภาวะที่ต้นทุนทางการเงินยังคงสูง การบริหารสภาพคล่องและหนี้สินเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและมีเสถียรภาพ
การมุ่งเน้นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง (High-Net-Worth Segment): แม้ตลาดกลาง-ล่างจะเผชิญความท้าทาย แต่ตลาด บ้านเดี่ยวราคาแพง และคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชูรีกลับยังคงเติบโตได้ดี ผู้ประกอบการควรพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการในกลุ่มนี้
การสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่เหนือกว่า (Customer Experience): การแข่งขันที่รุนแรงทำให้การสร้างความประทับใจและความผูกพันกับลูกค้ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ตั้งแต่กระบวนการขาย การส่งมอบ ไปจนถึงบริการหลังการขาย
การบูรณาการเทคโนโลยีและข้อมูล (Data-Driven Decisions): การนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ตลาด การกำหนดราคา การทำการตลาด และการบริหารจัดการโครงการ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยง
การกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้ประจำ (Diversification & Recurring Income): การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม สำนักงานให้เช่า หรือคลังสินค้า จะช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงและลดความผันผวนจากตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย
บทสรุปและคำเชิญ
ปี 2568 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นปีแห่ง โอกาสธุรกิจอสังหาฯ สำหรับผู้ประกอบการที่มีความพร้อมและปรับตัวได้เร็ว ผู้ที่สามารถวิเคราะห์ตลาดได้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และพร้อมที่จะลงทุนในนวัตกรรมและความยั่งยืน จะเป็นผู้ที่สามารถพลิกเกมและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างแท้จริง การเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต ผนวกกับการมองไปข้างหน้าอย่างมีวิสัยทัศน์ คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จใน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568
หากท่านคือหนึ่งในผู้ที่กำลังมองหาโอกาสหรือวางแผนกลยุทธ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังผันผวนนี้ และต้องการข้อมูลเชิงลึกเฉพาะทางเพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำยิ่งขึ้น เรายินดีให้คำปรึกษาและแบ่งปันความเชี่ยวชาญเพื่อนำพาท่านสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน อย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อปลดล็อกศักยภาพของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของท่านไปด้วยกัน.

