วันนี้ (4 ธ.ค. 68) เวลา 11.05 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการและโฆษกศูนย์ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก กรรมการและโฆษกศูนย์ ร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า กรณีสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ สำหรับการเสียชีวิต โดยคำจำกัดความของการเสียชีวิตในครั้งนี้ คือ 1.การจมน้ำเสียชีวิต 2.การเสียชีวิตในที่พักอาศัยหรือโรงพยาบาลที่ถูกน้ำท่วมขังหรือล้อมรอบ 3.การเสียชีวิตระหว่างการเคลื่อนย้ายหรืออพยพออกจากพื้นที่น้ำท่วมไปยังโรงพยาบาล ศูนย์พักพิงชั่วคราว หรือสถานที่ปลอดภัย โดยกรอบระยะเวลาคือวันที่ 22 – 27 พ.ย. 2568 ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขประกอบการพิจารณา
“ขอบคุณจุฬาราชมนตรีที่กรุณาให้การช่วยเหลือ โดยบางกรณีจำเป็นต้องดำเนินการภายใน 24 ชั่วโมงตามหลักศาสนา ทางจุฬาราชมนตรีได้มอบหมายให้คณะกรรมการมุสลิมประจำแต่ละอำเภอ เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาในแต่ละกรณี พร้อมทั้งให้จัดแพทย์มุสลิมเข้าร่วมสังเกตการณ์ในประเด็นต่าง ๆ ด้วย” นายสิริพงศ์ ระบุ
น.ส.รัชดา กล่าวถึงการโอนเงินเยียวยาผู้ประสบภัยตั้งแต่วันที่ 1 – 3 ธ.ค. 2568 ว่าได้โอนเงินไปแล้ว 186,330 ครัวเรือน คิดเป็นเงิน 1,676,000,970,000 บาท โดย จ. สงขลา มียอดสูงสุดอยู่ที่ 119,619 ครัวเรือน โดยวันนี้ (4 ธ.ค. 2568) กรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จะดำเนินการโอนเงิน 368,099 ครัวเรือน คิดเป็นวงเงิน 3,312,891,000 บาท ทั้งนี้ รัฐบาลเร่งที่จะโอนเงินไปยังที่สงขลาและหาดใหญ่ เฉพาะจังหวัดสงขลายกเว้น อ.หาดใหญ่อยู่ที่ 84,992 ครัวเรือน และอำเภอหาดใหญ่อยู่ที่ 22,631 ครัวเรือน ทั้งนี้ สำหรับพื้นที่ที่มีปัญหาระบบสัญญาณอินเทอร์เน็ตล่ม กสทช. จะเร่งดำเนินการแก้ไข

ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 3 จังหวัด (ปัตตานี นราธิวาส ยะลา) ยืนยันว่า การฟื้นฟูพื้นที่ชายแดนใต้ สถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติ ระบบน้ำและไฟฟ้าสามารถจ่ายได้ครบทุกพื้นที่ และทุกพื้นที่เข้าสู่ขั้นตอน Big Cleaning โดยสมบูรณ์ ในจุดสำคัญระบบน้ำประปา (หาดใหญ่) สามารถจ่ายน้ำได้แล้ว แต่ยังมีรายงานปัญหาท่อแตก/ท่อรั่ว ระหว่างทางและพื้นที่ปลายทาง โดยการประปาส่วนภูมิภาคกำลังดำเนินการแก้ไข ส่วนครัวเรือนที่ยังไม่ได้รับไฟฟ้าเนื่องจากระบบภายในบ้านยังไม่พร้อม ลดลงเหลือประมาณ 3,400 กว่าครัวเรือน จาก 5,000 กว่าครัวเรือนเมื่อวานนี้ และระบบสื่อสาร กสทช. สัญญาณอินเทอร์เน็ตสามารถกลับมาใช้ได้ปกติครอบคลุมทั่วอำเภอหาดใหญ่แล้ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทะเบียนรับเงินเยียวยาทั้ง Onsite และ Online
ด้านการจัดการขยะ ทุกภาคส่วนร่วมดำเนินการอย่างเต็มที่ โดยมีการลำเลียงขยะจากจุดพักที่สะพานดำ ไปกำจัดที่โรงกำจัดขยะเกาะแต้ว จะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการคาดการณ์ปริมาณกองขยะ เพื่อให้การจัดสรรรถขนขยะมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ พบปัญหาการเข้าถึงในตรอกและซอยเล็ก ๆ จึงได้ระดมรถขนขยะขนาดเล็กเข้าไปในพื้นที่ ส่วนการเคลื่อนย้ายรถ ได้ดำเนินการเคลื่อนย้ายรถที่จอดกีดขวางช่องทางจราจรในภาพกว้างเกือบ 100% แล้ว โดยนำไปจัดเก็บในจุดที่กำหนดและปลอดภัย เช่น วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ และตำรวจจะประสานแจ้งเจ้าของรถให้ทราบต่อไป
เปิดโลกซูเปอร์คาร์แห่งปี 2025: เจาะลึกนวัตกรรมและสุดยอดสมรรถนะจากประสบการณ์จริง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการซูเปอร์คาร์มานานกว่าทศวรรษ การได้เฝ้าดูวิวัฒนาการของเครื่องจักรกลอันน่าทึ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นอย่างแท้จริง ปี 2025 ถือเป็นบทบาทสำคัญที่พลังดิบมาบรรจบกับความชาญฉลาดอันซับซ้อน และความยั่งยืนเริ่มเข้ามาผสานรวมกับความเร้าใจ เราก้าวพ้นยุคของการเพียงแค่ยัดเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ลงในตัวถังเพรียวบางแล้ว ปัจจุบันซูเปอร์คาร์คือนิเวศวิทยาที่ซับซ้อนของวิศวกรรมล้ำสมัย วัสดุขั้นสูง และระบบขับเคลื่อนที่ปฏิวัติวงการ ซึ่งทั้งหมดได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันเพื่อผลักดันขีดจำกัดของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร บทความนี้ไม่ใช่แค่รายการ แต่เป็นการสำรวจเชิงลึกจากมุมมองของคนวงในเกี่ยวกับยานพาหนะที่กำหนดจุดสูงสุดของความเป็นเลิศด้านยานยนต์ในปี 2025 เราจะวิเคราะห์ปรัชญาการออกแบบ ทำความเข้าใจเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ และค้นพบว่าเหตุใดรถยนต์รุ่นเหล่านี้จึงยังคงดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบและนักลงทุนในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมที่จะเดินทางผ่านสุดยอดซูเปอร์คาร์ ซึ่งแต่ละคันเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความอัจฉริยะของมนุษย์และเป็นสัญลักษณ์ของความหลงใหลในการขับขี่
Ferrari 296 GTB
Ferrari 296 GTB ในปี 2025 ยังคงเป็นหนึ่งในรถที่น่าจับตามองมากที่สุดในตลาดซูเปอร์คาร์ไฮบริด ด้วยการเปิดตัวครั้งแรกในปี 2022 รถคันนี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับ Ferrari ในหลายมิติ ในฐานะปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์ V6 ของแบรนด์ ม้าลำพองคันนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอนาคตของสมรรถนะสูงไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่เครื่องยนต์ V8 หรือ V12 อีกต่อไป จากประสบการณ์ของผม เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ขนาด 2.9 ลิตรที่ให้กำลัง 653 แรงม้า เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 167 แรงม้า ได้ปลดปล่อยพละกำลังรวมมหาศาลถึง 830 แรงม้า พร้อมแรงบิด 740 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับแพ็คเกจที่มีน้ำหนักเบาและมีความคล่องตัวสูงในกลุ่มสุดยอดซูเปอร์คาร์
สิ่งที่ทำให้ 296 GTB โดดเด่นอย่างแท้จริงคือการผสมผสานเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนล้อหลังแบบไฮบริดเข้ากับการส่งกำลังที่ไร้รอยต่อ มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนล้อหลังโดยตรง ในขณะที่เครื่องยนต์ V6 ส่งกำลังผ่านเกียร์ 8 สปีดที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ ทำให้การเปลี่ยนผ่านระหว่างโหมดไฟฟ้าบริสุทธิ์และโหมดไฮบริดเต็มรูปแบบเป็นไปอย่างราบรื่นแทบไม่รู้สึก การเร่งความเร็ว 0-100 กม./ชม. ใน 2.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม. ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือประสบการณ์ที่กระตุ้นอะดรีนาลีนได้ทุกครั้งที่กดคันเร่ง ระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วน 25 กม. ยังเป็นข้อดีสำหรับการขับขี่ในเมือง หรือการเข้าสู่พื้นที่ปลอดมลพิษในบางประเทศ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมที่แบรนด์พรีเมียมกำลังให้ความสำคัญเป็นเทรนด์ยานยนต์ 2025
การออกแบบภายนอกของ 296 GTB นั้นถูกขัดเกลาจาก 488 GTB อย่างละเอียดอ่อน โดยยังคงเอกลักษณ์ของ Ferrari ไว้ แต่ปรับปรุงให้ดูทันสมัยและดุดันยิ่งขึ้น ไฟหน้าและไฟท้าย LED ที่เพรียวบาง ช่องระบายอากาศด้านข้างขนาดใหญ่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ ไม่ใช่แค่เพียงความสวยงาม แต่ยังสะท้อนถึงหลักการทำงานด้านแอโรไดนามิกส์ที่ซับซ้อน ภายในห้องโดยสารนั้นถือเป็นงานศิลปะแห่งความเรียบง่ายและเทคโนโลยี จอแสดงผลดิจิทัลขนาด 16 นิ้วเป็นศูนย์กลางข้อมูลที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เบาะนั่งสปอร์ตที่ออกแบบมาเพื่อรองรับสรีระของผู้ขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ทุกการเดินทาง ไม่ว่าจะบนสนามแข่งหรือถนนสาธารณะ คือประสบการณ์การขับขี่ระดับโลกที่เหนือชั้น Ferrari 296 GTB ในปี 2025 ไม่ใช่แค่ซูเปอร์คาร์ แต่คือบทพิสูจน์ถึงการเปลี่ยนแปลงของวงการยานยนต์ระดับสูงและนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต
Porsche 911 GT3 RS
ในโลกของรถซูเปอร์คาร์ที่เน้นสมรรถนะสูงสุดในสนามแข่ง Porsche 911 GT3 RS ยังคงเป็นชื่อที่ได้รับการยกย่องสูงสุด และในปี 2025 สถานะนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในฐานะผู้ที่คลุกคลีกับรถยนต์สมรรถนะสูงมานาน ผมกล้าพูดได้เลยว่า GT3 RS คือบทเรียนสำคัญในการสร้างรถที่โฟกัสไปที่ประสบการณ์การขับขี่แบบดิบๆ อย่างแท้จริง นับตั้งแต่การเปิดตัวรุ่นแรกในปี 2015 รถคันนี้ได้วิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่แสวงหารถแข่งที่สามารถขับขี่บนถนนสาธารณะได้ พร้อมด้วยสมรรถนะเหนือระดับ
หัวใจของ 911 GT3 RS คือเครื่องยนต์ Boxer 6 สูบนอนแบบไร้ระบบอัดอากาศ (Naturally Aspirated) ขนาด 4.0 ลิตร ที่ได้รับการขัดเกลามาอย่างพิถีพิถัน ด้วยกำลังสูงสุด 520 แรงม้า และแรงบิด 470 นิวตันเมตร แม้ตัวเลขอาจไม่ดูหวือหวาเท่าซูเปอร์คาร์ไฮบริดยุคใหม่ แต่ความรู้สึกที่ได้จากเครื่องยนต์ NA รอบสูงนั้นหาตัวจับยาก เสียงคำรามที่ก้องกังวานและตอบสนองได้ทันที ทำให้ทุกการเปลี่ยนเกียร์และการเร่งรอบเป็นประสบการณ์ที่เร้าใจอย่างแท้จริง การเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 312 กม./ชม. คือตัวเลขที่ยืนยันถึงสมรรถนะเครื่องยนต์อันดุดันของมัน
สิ่งที่ทำให้ GT3 RS แตกต่างอย่างสิ้นเชิงคือการปรับแต่งเพื่อสนามแข่งโดยเฉพาะ ระบบกันสะเทือนที่แข็งแกร่ง เบรกคาร์บอนเซรามิก (PCCB) ขนาดใหญ่ที่ให้ประสิทธิภาพการหยุดรถที่ยอดเยี่ยม และปีกหลังขนาดมหึมาที่ไม่ได้มีไว้แค่โชว์ แต่สร้างแรงกด (downforce) มหาศาลเพื่อให้รถยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นคงในความเร็วสูง การออกแบบแอโรไดนามิกส์ของ GT3 RS นั้นเป็นผลงานชิ้นเอก ตั้งแต่ช่องระบายอากาศบนซุ้มล้อไปจนถึงดิฟฟิวเซอร์ใต้ท้องรถ ทุกส่วนถูกออกแบบมาเพื่อรีดประสิทธิภาพสูงสุด ภายในห้องโดยสารถูกลดทอนความหรูหราที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มความรู้สึกแบบรถแข่ง เบาะนั่งบั๊กเก็ตซีท และพวงมาลัย Alcantara เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่เน้นการใช้งานจริงและดีไซน์รถหรูที่เน้นฟังก์ชัน
Porsche 911 GT3 RS ในปี 2025 ไม่ใช่แค่รถสปอร์ต แต่มันคือเครื่องมือสำหรับนักขับที่แท้จริง เป็นการลงทุนในประสบการณ์การขับขี่ที่บริสุทธิ์ และเป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ไม่กี่คันที่ยังคงยึดมั่นในปรัชญา “less is more” ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ทำให้มันเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับการลงทุนในรถยนต์สะสม
Lamborghini Huracan Tecnica
Lamborghini Huracan Tecnica เป็นอีกหนึ่งชื่อที่ยังคงร้อนแรงในวงการซูเปอร์คาร์ปี 2025 โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่หลงใหลในความดุดันและเร้าใจแบบอิตาเลียนอย่างแท้จริง จากประสบการณ์ 10 ปีในแวดวงนี้ ผมเห็นว่า Tecnica เข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่าง Huracan EVO และ STO ได้อย่างชาญฉลาด มันถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “สะพานเชื่อม” ที่มอบความตื่นเต้นบนถนนสาธารณะและสมรรถนะอันน่าประทับใจในสนามแข่งได้อย่างลงตัว เป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่แท้จริง
หัวใจหลักของ Huracan Tecnica คือเครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในขุมพลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกยานยนต์ ด้วยกำลัง 640 แรงม้า และเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini ที่ทำให้ผู้ฟังขนลุกซู่ การจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด และระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) ทำให้ Tecnica มอบการตอบสนองที่ฉับไวและแม่นยำ การเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม. เป็นตัวเลขที่บอกเล่าเรื่องราวของสมรรถนะได้อย่างชัดเจน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือความรู้สึกในการขับขี่ที่ควบคุมได้ และความสามารถในการดึงพลังงานออกมาใช้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบไฟฟ้าอันซับซ้อน
การออกแบบภายนอกของ Tecnica นั้นโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ดุดันและสปอร์ตยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับ Huracan รุ่นอื่นๆ กระจังหน้าขนาดใหญ่ ช่องระบายอากาศที่ปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนและแอโรไดนามิกส์ กันชนหน้า/หลังดีไซน์ใหม่ที่เน้นเส้นสายที่คมชัด และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ทุกองค์ประกอบทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น ไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่ยังรวมถึงฟังก์ชันการทำงานด้านแอโรไดนามิกส์ที่ได้รับการปรับปรุง ทำให้รถมีความเสถียรมากขึ้นในความเร็วสูงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต
ภายในห้องโดยสารของ Huracan Tecnica ยังคงความหรูหราแบบ Lamborghini ด้วยการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง เช่น Alcantara และคาร์บอนไฟเบอร์ เบาะนั่งสปอร์ตที่โอบกระชับ จอแสดงผลดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้วสำหรับมาตรวัดความเร็วที่ให้ข้อมูลครบถ้วน และจอแสดงผลส่วนกลางขนาด 8.4 นิ้วที่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น Lamborghini Huracan Tecnica ในปี 2025 ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการซูเปอร์คาร์ V10 แบบ NA ที่มอบทั้งความเร้าใจ สมรรถนะ และดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์
McLaren Artura
ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง McLaren Artura ได้ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำในกลุ่มซูเปอร์คาร์ไฮบริดอย่างชัดเจนในปี 2025 ในฐานะผู้สังเกตการณ์วงการมานานกว่าทศวรรษ ผมมองว่า Artura ไม่ใช่แค่รถยนต์คันใหม่ แต่เป็นบทนิยามใหม่ของ McLaren ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์แห่งอนาคต ด้วยการเปิดตัวครั้งแรกในปี 2021 รถคันนี้ได้สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม McLaren Carbon Lightweight Architecture (MCLA) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาเพื่อรองรับระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดโดยเฉพาะ ทำให้ Artura มีน้ำหนักเบาและแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่งจากการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์
หัวใจหลักของ Artura คือระบบส่งกำลังไฮบริด V6 ขนาด 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ ที่ให้กำลังรวม 680 แรงม้า ระบบนี้ไม่เพียงแต่ให้พละกำลังที่มหาศาล แต่ยังมอบการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจจากการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์สันดาปภายในและมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า การเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม. คือข้อพิสูจน์ถึงสมรรถนะอันไร้ที่ติของมัน แต่สิ่งที่ทำให้ Artura แตกต่างคือการเป็นซูเปอร์คาร์ไฮบริดคันแรกของ McLaren ที่มาพร้อมกับระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) และระบบเบรก Regenerative ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ดึงมาจาก F1 ทำให้รถสามารถกู้คืนพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งเป็นข้อดีของเทคโนโลยี EV ในซูเปอร์คาร์
การออกแบบ Artura นั้นเป็นไปตามหลักปรัชญา “form follows function” ของ McLaren ทุกเส้นสายและทุกส่วนประกอบถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์และลดน้ำหนัก ไฟหน้า LED ที่เพรียวบาง ช่องดักอากาศขนาดใหญ่ที่ช่วยระบายความร้อน และเส้นสายที่ไหลลื่นไปตามตัวรถ ภายในห้องโดยสารของ Artura เป็นการผสมผสานระหว่างความหรูหราแบบมินิมอลและเทคโนโลยีล้ำสมัย แดชบอร์ดดิจิทัลที่ปรับแต่งได้ หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ที่ควบคุมระบบอินโฟเทนเมนต์ และเบาะนั่งที่โอบกระชับ มอบทั้งความสะดวกสบายและการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ซึ่งสะท้อนถึงดีไซน์รถหรูที่เน้นการใช้งานจริง
McLaren Artura ในปี 2025 ไม่ใช่แค่ซูเปอร์คาร์ที่เร็วและแรง แต่มันคือสัญลักษณ์ของนวัตกรรมยานยนต์ที่มุ่งสู่ความยั่งยืนโดยไม่ลดทอนสมรรถนะลงแม้แต่น้อย เป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของอนาคตของรถสปอร์ตไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าบางส่วน และยังคงมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้นและทรงประสิทธิภาพอย่างไม่มีใครเทียบได้
Maserati MC20
Maserati MC20 ยังคงเป็นตัวเต็งที่น่าจับตามองในตลาดซูเปอร์คาร์ปี 2025 โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มองหานวัตกรรมที่มาพร้อมกับความสง่างามแบบอิตาเลียนอย่างแท้จริง จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในวงการ ผมมองว่า MC20 คือการประกาศการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของ Maserati ในเวทีซูเปอร์คาร์ระดับโลก นับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2020 และเริ่มวางจำหน่ายในปี 2021 รถคันนี้ได้สร้างความประทับใจด้วยการผสมผสานดีไซน์ที่ล้ำสมัยเข้ากับสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ทำให้มันเป็นสุดยอดซูเปอร์คาร์อีกรุ่นหนึ่ง
หัวใจของ MC20 คือเครื่องยนต์ Nettuno V6 ทวินเทอร์โบขนาด 3.0 ลิตร ที่พัฒนาโดย Maserati เอง ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของแบรนด์ เครื่องยนต์นี้ไม่เพียงแต่ให้กำลังมหาศาลถึง 630 แรงม้า และแรงบิด 730 นิวตันเมตร แต่ยังใช้เทคโนโลยี Twin Combustion (MTC) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก F1 ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้และลดการปล่อยมลพิษ การเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม. ทำให้ MC20 เป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์ที่เร็วที่สุดในกลุ่ม นอกจากนี้ โครงสร้างของรถที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งคัน ส่งผลให้น้ำหนักเบาเพียง 1,500 กิโลกรัม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่และการควบคุม
การออกแบบภายนอกของ MC20 นั้นโดดเด่นด้วยเส้นสายที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ประตูเปิดแบบปีกผีเสื้อ (butterfly doors) ไม่ใช่แค่เพิ่มความโอ่อ่า แต่ยังสะดวกสบายในการเข้าออก ไฟหน้า LED ที่เพรียวบาง และช่องดักอากาศที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาด ล้วนบ่งบอกถึงการทำงานร่วมกันระหว่างฟังก์ชันและสุนทรียศาสตร์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของดีไซน์รถหรู ระบบกันสะเทือนแบบอิสระทั้งสี่ล้อ และระบบเบรกคาร์บอนเซรามิกขนาดใหญ่ ช่วยให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างแม่นยำและมั่นใจในทุกสภาวะ มอบประสบการณ์ขับขี่ระดับโลก
ภายในห้องโดยสารของ MC20 นั้นเรียบหรูและเน้นการใช้งานจริง แผงหน้าปัดดิจิทัลและหน้าจอสัมผัสส่วนกลางที่ผสานรวมเข้ากับดีไซน์ได้อย่างลงตัว วัสดุคุณภาพสูงอย่าง Alcantara และคาร์บอนไฟเบอร์ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างบรรยากาศที่สปอร์ตและหรูหราพร้อมกัน Maserati MC20 ในปี 2025 ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยรุ่นย่อยที่มีให้เลือกทั้ง MC20 Coupe, MC20 Spider และ MC20 Trofeo ที่จะตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ที่หลงใหลในความแรงและเอกลักษณ์ของแบรนด์สามง่าม และเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในรถยนต์สะสม
Chevrolet Corvette C8
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาซูเปอร์คาร์ที่มอบสมรรถนะระดับโลกในราคาที่เข้าถึงได้ Chevrolet Corvette C8 ยังคงเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามในปี 2025 จากประสบการณ์ของผมในอุตสาหกรรมนี้ Corvette C8 ถือเป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญของซีรีส์ โดยเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์วางกลางเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ Corvette ก้าวขึ้นมาท้าชนกับซูเปอร์คาร์ยุโรปได้อย่างเต็มภาคภูมิ นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2019 C8 ได้พิสูจน์แล้วว่ารถยนต์สัญชาติอเมริกันก็สามารถให้ประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นไม่แพ้ใคร ด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยม
หัวใจของ Corvette C8 คือเครื่องยนต์ LT2 V8 ขนาด 6.2 ลิตร Naturally Aspirated ที่ให้กำลังสูงสุด 495 แรงม้า (ในรุ่น Z51 Performance Package) เครื่องยนต์นี้ส่งกำลังไปยังล้อหลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8 สปีดที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การเร่งความเร็วจาก 0-96.5 กม./ชม. (0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง) ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 312 กม./ชม. เป็นตัวเลขที่น่าประทับใจอย่างยิ่งสำหรับรถในระดับราคานี้ สิ่งที่ทำให้ C8 โดดเด่นคือการผสมผสานระหว่างพละกำลังแบบอเมริกันกับความสมดุลของการควบคุมที่มาจากเครื่องยนต์วางกลาง ทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำและมีการกระจายน้ำหนักที่ดีเยี่ยม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคตที่เข้าถึงได้
การออกแบบภายนอกของ Corvette C8 นั้นทันสมัยและมีสไตล์ ด้วยไฟหน้า LED ที่เพรียวบางและกลมกลืนกับเส้นสายของรถ กระจกหลังขนาดใหญ่ที่เผยให้เห็นเครื่องยนต์ V8 ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลัง ซึ่งเป็นจุดเด่นที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงปรัชญาการออกแบบ ช่องระบายอากาศด้านข้างขนาดใหญ่ไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องการระบายความร้อน แต่ยังเป็นองค์ประกอบที่เสริมความดุดัน ท่อไอเสียสี่ชุดที่จัดวางอย่างสมมาตร และไฟท้าย LED แบบคู่ที่โดดเด่น ล้วนสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งเป็นดีไซน์รถหรูที่เน้นความสปอร์ต ภายในห้องโดยสารของ C8 ยังคงเน้นความสะดวกสบายและเทคโนโลยี หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่เอียงเข้าหาผู้ขับขี่ คอนโซลกลางที่ออกแบบมาให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง และการเลือกใช้วัสดุที่ดูพรีเมียมมากขึ้น
Chevrolet Corvette C8 ในปี 2025 ยังคงเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับผู้ที่ต้องการซูเปอร์คาร์ที่คุ้มค่า คุ้มราคา และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้รถหรูจากยุโรป เป็นบทพิสูจน์ว่าสมรรถนะสูงไม่จำเป็นต้องมาพร้อมกับป้ายราคาที่สูงลิบเสมอไป ทำให้มันเป็น “ซูเปอร์คาร์สำหรับทุกคน” อย่างแท้จริง
ในปี 2025 เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกของซูเปอร์คาร์ จากการมุ่งเน้นที่พลังงานไฮบริดและไฟฟ้า ไปจนถึงการยกระดับแอโรไดนามิกส์และเทคโนโลยีภายในห้องโดยสาร รถยนต์ที่เราได้สำรวจมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็น Ferrari 296 GTB ที่ผสาน V6 เข้ากับไฟฟ้า, Porsche 911 GT3 RS ที่คงความดิบแบบ NA, Lamborghini Huracan Tecnica ที่ยังคงความเร้าใจของ V10, McLaren Artura ที่นิยามไฮบริดใหม่, Maserati MC20 ที่หรูหราและทรงพลัง หรือ Chevrolet Corvette C8 ที่มอบสมรรถนะระดับโลกในราคาที่เข้าถึงได้ ล้วนเป็นตัวแทนของสุดยอดนวัตกรรมยานยนต์แห่งยุคนี้ แต่ละคันมีเอกลักษณ์และปรัชญาเป็นของตัวเอง แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น และผลักดันขีดจำกัดของสิ่งที่เป็นไปได้
โลกของซูเปอร์คาร์ไม่เคยหยุดนิ่ง และปี 2025 ก็เป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น หากคุณคือผู้ที่หลงใหลในความเร็ว เทคโนโลยี และงานศิลปะบนล้อเหล่านี้ อย่ารอช้า! มาสัมผัสประสบการณ์จริง หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสุดยอดซูเปอร์คาร์แห่งยุคสมัย เพื่อค้นหาสิ่งที่เติมเต็ม passion ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเยี่ยมชมโชว์รูม ทดลองขับ หรือเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ โอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของโลกยานยนต์ระดับท็อปอยู่ในมือคุณแล้ว!

