มะกันจ่อเพิ่มรายชื่อประเทศห้ามเข้าเมือง 100% ชี้เป็นปลิง-ก่ออาชญากรรม
บีบีซีรายงานว่า คริสตี โนเอม รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ ระบุว่า เธอจะเสนอให้มีการสั่งห้ามเดินทางของพลเมืองหลายประเทศเข้ามายังสหรัฐเพิ่มเติม โดยอ้างว่าคนเหล่านี้กำลังทำให้สหรัฐเต็มไปด้วยอาชญากรรม
โนเอมโพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า เธอได้พบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และตัดสินใจเสนอให้มีการสั่งห้ามเดินทางอย่างเต็มรูปแบบต่อทุกประเทศที่ทำให้ประเทศของเราเต้มไปด้วยพวกฆาตกร ปลิงดูดเลือด และพวกที่ชอบพึ่งพาสวัสดิการของรัฐ
หลังจากนั้นทรัมป์และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ได้แชร์โพสต์ของโนเอมบนบัญชีโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของพวกเขา
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าประเทศใดจะได้รับผลกระทบจากคำสั่งห้ามเดินทางที่กำลังจะออกมาล่าสุดนี้ หรือคำสั่งดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อใด โดย DHS บอกกับบีบีซีว่าจะประกาศรายชื่อประเทศที่จะถูกสั่งห้ามเดินทางเข้าสหรัฐรอบใหม่ในเร็วๆ นี้
คาโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว บอกกับ Fox News ว่า เมื่อหลายเดือนก่อน ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศคำสั่งห้ามเดินทางมายังสหรัฐกับประเทศโลกที่สามและประเทศที่เป็นรัฐล้มเหลว คำแนะนำของโนเอมจะขยายบัญชีรายชื่อให้ครอบคลุมประเทศอื่นๆ มากขึ้น
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ทำเนียบขาวได้เผยรายชื่อ 19 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในแอฟริกา ตะวันออกกลาง และแคริบเบียน ที่จะถูกจำกัดการเข้ามายังสหรัฐทั้งหมดหรือบางส่วน
CBS News ซึ่งเป็นพันธมิตของบีบีซีในสหรัฐรายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่สหรัฐหลายคนว่า การเพิ่มรายชื่อของโนเอมจะทำให้จำนวนรวมของประเทศที่จะถูกห้ามการเดินทางมายังสหรัฐอยู่ที่ราว 30 ประเทศ

Advertisement
ถ้อยแถลงของโนเอมเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากสมาชิกกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ 2 นายถูกยิงในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ก่อนหน้านี้เธอได้ระบุบนโซเชียลมีเดียว่า ชาวอัฟกานิสถาน 100,000 คนได้เดินทางเข้ามาในสหรัฐภายใต้โครงการ Operation Allies Welcome ในยุคอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน และเธอระบุว่า DHS จะยกเครื่องกระบวนการคัดกรองและการตรวจสอบประวัติใหม่
เจ้าหน้าที่ระบุผู้ต้องสงสัยในเหตุกราดยิงที่ดีซีว่าเป็นชาวอัฟกันที่เดินทางเข้ามายังสหรัฐในปี 2021 ภายใต้โครงการดังกล่าว ซึ่งออกแบบมาสำหรับพลเมืองท้องถิ่นที่เคยทำงานร่วมกับกองทัพสหรัฐ ระหว่างภารกิจยาวนาน 20 ปีในอัฟกานิสถาน
ตามข้อมูลเมื่อปีก่อนซึ่ง CBS News ได้รับระบุว่า ผู้ต้องสงสัยประสบปัญหาสุขภาพจิตหลังเดินทางถึงสหรัฐ
รัฐบาลทรัมป์เพิ่มความเข้มงวดในนโยบายตรวจคนเข้าเมืองมากขึ้นหลังเหตุดังกล่าว ซึ่งทำให้ซาราห์ เบกสตรอม วัย 20 ปีเสียชีวิต และทำให้อันดรูว์ วูล์ฟ วัย 24 ปีบาดเจ็บสาหัส ด้านผู้ว่าการรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย แพทริก มอร์ริซีย์ กล่าวว่า ล่าสุดวูล์ฟตอบสนองพยาบาลด้วยการชูนิ้วโป้ง แต่เขายังคงมีอาการสาหัสขณะเข้ารับการรักษาตัวต่อเนื่องในโรงพยาบาล
โจเซฟ เอดโลว์ ผู้อำนวยการสำนักบริการสัญชาติและตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐ ระบุว่า หลังจากเหตุการณ์กราดยิงในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การตัดสินใจทั้งหมดเกี่ยวกับการขอสถานะผู้ลี้ภัยก็ถูกระงับลง และจะยังคงระงับการพิจารณาต่อไป จนกว่าเราจะมั่นใจได้ว่าชาวต่างชาติทุกคนได้รับการตรวจสอบและคัดกรองอย่างเข้มงวดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เอดโลว์ยังกล่าวด้วยว่า เขาได้รับคำสั่งจากทรัมป์ให้ทบทวนกรีนการ์ดที่ออกให้แก่บุคคลที่อพยพมายังสหรัฐจากจาก 19 ประเทศด้วย
หลังเกิดเหตุยิงกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ ทรัมป์ขู่ที่จะระงับ “การย้ายถิ่นฐานอย่างถาวร” จากประเทศโลกที่สามทั้งหมด โดยคำว่า “โลกที่สาม” เป็นคำที่เคยใช้เรียกประเทศยากจนหรือประเทศกำลังพัฒนา
ในโพสต์วันขอบคุณพระเจ้า ทรัมป์กล่าวโทษผู้ลี้ภัยว่าเป็นสาเหตุให้เกิด “ความผิดปกติทางสังคมในอเมริกา” และสาบานว่าจะขับไล่ “ทุกคนที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์” ต่อสหรัฐ
ในการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของเขา ทรัมป์ได้พยายามออกกฎหมายดำเนินการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายจำนวนมาก ลดจำนวนผู้ลี้ภัยที่รับเข้าแต่ละปี และยุติสิทธิการได้สัญชาติโดยอัตโนมัติของผู้ที่เกิดบนแผ่นดินสหรัฐ
ขณะที่สหประชาชาติเรียกร้องให้สหรัฐปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับผู้ขอลี้ภัย
พลิกโฉมวงการซุปเปอร์คาร์: สุดยอด 6 ยนตรกรรมแห่งยุคปี 2025 ที่คุณต้องจับตา
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงยนตรกรรมสมรรถนะสูงมานานกว่าทศวรรษ ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าปี 2025 นี้คือหมุดหมายสำคัญที่ซุปเปอร์คาร์ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความเร็วและสถานะทางสังคมอีกต่อไป หากแต่เป็นเวทีที่เทคโนโลยีล้ำสมัย, วิศวกรรมอันชาญฉลาด และปรัชญาการออกแบบที่ไม่ยอมประนีประนอมมาบรรจบกันอย่างลงตัว เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ “สมรรถนะ” ไม่ได้วัดกันเพียงแค่แรงม้า แต่คือการหลอมรวมของพลังงานเชื้อเพลิง, พลังงานไฟฟ้า, หลักอากาศพลศาสตร์ และประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นกว่าที่เคยมีมา
ตลาดซุปเปอร์คาร์ในปี 2025 เต็มไปด้วยนวัตกรรมที่น่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบไฮบริดที่ฉลาดล้ำ, การพัฒนาระบบแอโรไดนามิกส์ที่พลิกโฉม, ไปจนถึงการยกระดับวัสดุศาสตร์ให้เบาและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ยนตรกรรมที่เราจะพูดถึงในวันนี้ ไม่ใช่แค่ “รถแรง” แต่คือ “ผลงานศิลปะเชิงวิศวกรรม” ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อมอบ “ประสบการณ์การขับขี่ซุปเปอร์คาร์” ที่เร้าใจและเป็นส่วนตัวที่สุด ผมได้คัดเลือก 6 ซุปเปอร์คาร์ที่โดดเด่นและยังคงเป็นที่กล่าวขวัญถึงในโลกยานยนต์ปี 2025 ที่สะท้อนถึงวิวัฒนาการและทิศทางของวงการนี้ได้อย่างชัดเจน เพื่อให้คุณได้สัมผัสแก่นแท้ของคำว่า “ซุปเปอร์คาร์ที่ดีที่สุด” ในปัจจุบัน
Ferrari 296 GTB: การก้าวกระโดดสู่ยุคใหม่ของม้าลำพอง
หากจะพูดถึง Ferrari ในปี 2025 สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงคือ “การเปลี่ยนแปลง” และ 296 GTB คือสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนผ่านนี้ สำหรับผู้ที่ติดตาม Ferrari มานานอย่างผม การที่ม้าลำพองเลือกใช้เครื่องยนต์ V6 คือเรื่องที่น่าจับตา แต่เมื่อได้สัมผัสกับ “Ferrari 296 GTB” ตัวเป็นๆ และได้ลองขับบนถนนจริง ผมก็เข้าใจทันทีว่านี่ไม่ใช่การลดทอน แต่คือการยกระดับสู่ยุคใหม่ของ “ซุปเปอร์คาร์ไฮบริด Ferrari” อย่างแท้จริง
หัวใจของ 296 GTB คือเครื่องยนต์ V6 ทวินเทอร์โบ 2.9 ลิตร ที่แม้จะ “เล็ก” กว่า V8 หรือ V12 แบบดั้งเดิม แต่กลับให้พละกำลังมหาศาลถึง 663 แรงม้า ซึ่งเป็นสถิติใหม่สำหรับเครื่องยนต์ V6 ในรถโปรดักชั่น การผสานพลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า 167 แรงม้า ทำให้กำลังรวมพุ่งทะยานไปถึง 830 แรงม้า พร้อมแรงบิด 740 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่สามารถท้าชนซุปเปอร์คาร์ระดับท็อปได้อย่างสบายๆ แรงม้าต่อลิตรของเครื่องยนต์นี้สูงถึง 221 แรงม้าต่อลิตร ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวเลขที่น่าประทับใจ แต่เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึง “นวัตกรรมยานยนต์อิตาลี” ชั้นสูงที่ Ferrari บ่มเพาะมานาน
สิ่งที่น่าสนใจและเป็นจุดแข็งสำคัญใน “การขับขี่ Ferrari 296 GTB” คือระบบปลั๊กอินไฮบริดที่ไม่ได้มีไว้แค่ทำตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบมาเพื่อ “เสริมสร้างประสบการณ์” การขับขี่อย่างแท้จริง มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเติมเต็มแรงบิดในรอบต่ำได้อย่างทันท่วงที ทำให้การออกตัวและการเร่งแซงเป็นไปอย่างดุดันไร้รอยต่อ และยังสามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนได้ระยะทางกว่า 25 กิโลเมตร เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมืองอย่างเงียบสงบก่อนจะปลดปล่อยพลังทั้งหมดบนทางหลวงหรือสนามแข่ง
ด้านการออกแบบภายนอก 296 GTB ยังคงรักษา DNA ของ Ferrari ไว้อย่างครบถ้วน ด้วยเส้นสายที่ลื่นไหล โฉบเฉี่ยว แต่แฝงไว้ซึ่งหลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง ไฟหน้าและไฟท้ายดีไซน์ใหม่ให้ความรู้สึกโมเดิร์นและทรงพลัง ช่องดักอากาศขนาดใหญ่ที่ด้านข้างไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังมีหน้าที่สำคัญในการระบายความร้อนให้กับขุมพลังไฮบริด ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบมาอย่างเรียบง่ายแต่หรูหรา จอแสดงผลดิจิทัลขนาด 16 นิ้ว มอบข้อมูลที่จำเป็นครบครัน พร้อมเบาะนั่งสปอร์ตที่กระชับรับสรีระ แสดงให้เห็นถึงปรัชญาที่เน้นคนขับเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
สำหรับนักลงทุนและผู้ที่มองหา “Ferrari 296 GTB ราคา” ที่คุ้มค่า ผมมองว่านี่คือการลงทุนในอนาคตของแบรนด์ ไม่ใช่แค่ซุปเปอร์คาร์ที่เร็วและแรง แต่คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ของ Ferrari ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่าน
Porsche 911 GT3 RS: จิตวิญญาณแห่งสนามแข่งที่ยังคงอมตะ
ในขณะที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าและการผสานระบบไฮบริดอย่างเต็มตัว “Porsche 911 GT3 RS” ยังคงยืนหยัดในฐานะตัวแทนของ “การขับขี่แบบเพียวริสต์” ที่สุดในบรรดาซุปเปอร์คาร์แห่งปี 2025 ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังโหยหาความดิบ, การสื่อสารโดยตรงกับรถ และเสียงคำรามของเครื่องยนต์สันดาปที่แท้จริง GT3 RS คือคำตอบที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
แม้ว่า 911 GT3 RS จะเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2015 และมีการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง แต่ปรัชญาหลักของมันยังคงไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือ “รถสปอร์ตในสนามแข่ง” ที่ถูกสร้างมาเพื่อชัยชนะ ขุมพลังของมันคือเครื่องยนต์ 6 สูบนอน 4.0 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศ (Naturally Aspirated) ที่ให้กำลังสูงสุด 520 แรงม้า และแรงบิด 470 นิวตันเมตร ตัวเลขเหล่านี้อาจดูไม่สูงเท่าคู่แข่งไฮบริด แต่เชื่อผมเถอะว่ามันถูกส่งลงพื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลาเพียง 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 312 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สิ่งที่ทำให้ GT3 RS แตกต่างอย่างแท้จริงคือ “การปรับแต่งเพื่อสมรรถนะ” ทุกส่วนของรถถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวคือ “ความเร็ว” และ “การควบคุม” ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ตที่แข็งแกร่ง, เบรกคาร์บอนเซรามิกที่ให้ความมั่นใจทุกจังหวะ และปีกหลังขนาดใหญ่ที่สร้างแรงกดมหาศาล (downforce) ทำให้ GT3 RS ยึดเกาะถนนได้อย่างไม่น่าเชื่อในทุกโค้ง การตกแต่งภายในที่ลดทอนความหรูหราลงเพื่อ “ลดน้ำหนัก” แต่ยังคงฟังก์ชันการใช้งานที่สำคัญไว้ครบครัน เบาะนั่งแบบ Bucket Seat และพวงมาลัย Alcantara คือสิ่งที่ย้ำเตือนว่าคุณกำลังนั่งอยู่ในรถแข่งที่พร้อมจะพุ่งทะยานได้ทุกเมื่อ
สำหรับผมแล้ว 911 GT3 RS ไม่ใช่แค่ “การลงทุนใน Porsche GT3 RS” แต่เป็นการลงทุนใน “ตำนาน” และ “คุณค่า” ของการขับขี่ที่บริสุทธิ์ รถคันนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับขีดจำกัดของการควบคุมและตอบสนองของรถยนต์อย่างแท้จริง ใครที่กำลังมองหา “Porsche 911 GT3 RS รีวิว” ที่เน้นประสบการณ์ขับขี่ ผมยืนยันได้เลยว่าคุณจะหลงรักในความดิบ, เสียงเครื่องยนต์ที่เร้าใจ และความรู้สึกของการเป็นหนึ่งเดียวกับรถที่หาได้ยากยิ่งในยุคปัจจุบัน
Lamborghini Huracan Tecnica: ความลงตัวระหว่างความดุดันและความแม่นยำ
หาก Ferrari คือความสง่างามและความล้ำสมัย Porsche คือความแม่นยำและการควบคุม Lamborghini Huracan Tecnica ก็คือ “ความดิบ” และ “ความเร้าใจ” ที่ยากจะหาใครเทียบได้ ในปี 2025 นี้ Tecnica ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหา “ซุปเปอร์คาร์ V10” ที่ผสานความสามารถในการขับขี่บนถนนและการลงสนามได้อย่างน่าทึ่ง
Huracan Tecnica เปิดตัวครั้งแรกในปี 2022 และยังคงความสดใหม่ในตลาดปี 2025 โดยถูกวางตำแหน่งให้อยู่ระหว่าง Huracan EVO RWD ที่เน้นความสนุกสนานบนถนน กับ Huracan STO ที่เป็นรถแข่งสำหรับถนนโดยเฉพาะ ขุมพลังยังคงเป็นเครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศ ที่ให้กำลังสูงสุด 640 แรงม้า และแรงบิดที่ทำให้คุณรู้สึกถึงพลังงานที่พร้อมจะระเบิดออกมา จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด คลัตช์คู่ที่ตอบสนองฉับไว ส่งกำลังทั้งหมดลงสู่ล้อหลัง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม. คือตัวเลขที่บอกเล่าเรื่องราวของสมรรถนะได้อย่างชัดเจน
“ดีไซน์ Lamborghini” ของ Tecnica นั้นดุดันและสปอร์ตยิ่งกว่ารุ่นอื่นๆ ในตระกูล ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ช่วยในการระบายความร้อนและสร้างแรงกด ช่องระบายอากาศขนาดมหึมา กันชนหน้า/หลังดีไซน์ใหม่ และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ล้วนสื่อถึงความพร้อมในการทำความเร็วและสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ที่พบเห็น ภายในห้องโดยสารแม้จะยังคงความดิบสไตล์ Lamborghini แต่ก็ได้รับการตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง เบาะนั่งสปอร์ตโอบกระชับ จอแสดงผลขนาด 10.25 นิ้วสำหรับมาตรวัดความเร็ว และจอขนาด 8.4 นิ้วที่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ทำให้มันยังคงเป็น “ซุปเปอร์คาร์ในชีวิตประจำวัน” ที่ใช้งานได้จริง
จาก “ประสบการณ์ขับขี่เร้าใจ” ที่ผมได้สัมผัส Huracan Tecnica ให้ความรู้สึกที่ควบคุมง่ายกว่า STO แต่ก็ยังคงความสนุกสนานและความดิบของ Lamborghini ไว้อย่างครบถ้วน เสียงคำรามของเครื่องยนต์ V10 ที่ลากรอบขึ้นไปสูงๆ นั้นคือบทเพลงที่นักเลงรถทุกคนใฝ่ฝัน การตอบสนองของพวงมาลัยที่คมกริบ และช่วงล่างที่ให้ความมั่นใจ ทำให้ทุกการเข้าโค้งเป็นไปอย่างมั่นใจ นี่คือรถที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ “ซุปเปอร์คาร์” ที่ไม่เพียงแต่เร็ว แต่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์และความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์กระทิงดุ สำหรับ “Lamborghini Huracan Tecnica ราคา” คุณอาจจะกำลังมองหาการลงทุนในหนึ่งในซุปเปอร์คาร์ V10 ยุคสุดท้ายที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของ Lamborghini ก่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคไฟฟ้าเต็มตัว
McLaren Artura: ซุปเปอร์คาร์ไฮบริดที่เบาและล้ำอนาคต
McLaren Artura คือหนึ่งใน “นวัตกรรมซุปเปอร์คาร์” ที่สำคัญที่สุดของยุคนี้ และยังคงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในตลาด “ซุปเปอร์คาร์ไฮบริด McLaren” ในปี 2025 หากคุณมองหาซุปเปอร์คาร์ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับปรัชญาการสร้างรถน้ำหนักเบาและสมรรถนะสูงได้อย่างไร้รอยต่อ Artura คือคำตอบ
Artura คือซุปเปอร์คาร์ไฮบริดรุ่นแรกจาก McLaren ที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมดที่เรียกว่า MCLA (McLaren Carbon Lightweight Architecture) ซึ่งเป็นโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อรองรับระบบส่งกำลังไฮบริดโดยเฉพาะ นี่คือจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ Artura มีน้ำหนักเพียง 1,498 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่าซุปเปอร์คาร์ไฮบริดหลายรุ่นในตลาด
ขุมพลังของ Artura คือเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 680 แรงม้า และแรงบิด 720 นิวตันเมตร ตัวเลขเหล่านี้ทำให้ Artura สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม. แต่สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือ “ระบบ KERS” (Kinetic Energy Recovery System) และ “ระบบเบรก Regenerative” ซึ่งถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่ง F1 มาสู่รถถนน ทำให้ Artura ไม่เพียงแต่ประหยัดเชื้อเพลิงกว่าซุปเปอร์คาร์ทั่วไป แต่ยังสามารถชาร์จแบตเตอรี่กลับคืนได้ระหว่างการขับขี่ มอบการขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนได้ระยะหนึ่งในโหมด EV Quiet
จากประสบการณ์ของผม “McLaren Artura รีวิว” ที่แท้จริงต้องเน้นย้ำถึงความรู้สึกของการควบคุมที่แม่นยำ พวงมาลัยที่ตอบสนองไว และความสมดุลของตัวรถที่ยอดเยี่ยม ด้วยน้ำหนักที่เบาและการกระจายน้ำหนักที่สมบูรณ์แบบ Artura ให้ความรู้สึกคล่องตัวและเป็นธรรมชาติในการเข้าโค้งอย่างน่าทึ่ง ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบมาเพื่อคนขับโดยเฉพาะ ด้วยจอแสดงผลที่ทันสมัยและใช้งานง่าย เบาะนั่งแบบ Comfort Seat หรือ Clubsport Seat ที่เป็นตัวเลือก เสริมให้ทุกการเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้น
McLaren Artura จึงเป็นมากกว่าแค่ “ซุปเปอร์คาร์ไฮบริด” มันคือวิสัยทัศน์ของ McLaren ที่จะสร้าง “ซุปเปอร์คาร์แห่งอนาคต” ที่ไม่เพียงแต่เร็วและแรง แต่ยังฉลาดล้ำ ประหยัดพลังงาน และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้นและเชื่อมโยงกับคนขับได้อย่างลึกซึ้ง
Maserati MC20: การกลับมาของตำนานพร้อมขุมพลัง Nettuno
การกลับมาของ Maserati สู่เวที “ซุปเปอร์คาร์อิตาลี” ระดับโลกอีกครั้งในปี 2025 นั้นถูกขับเคลื่อนโดย “Maserati MC20” สำหรับผู้ที่ติดตามประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์ trident อย่างผม MC20 ไม่ใช่แค่รถใหม่ แต่คือการประกาศศักดาครั้งสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ยนตรกรรมสมรรถนะสูงที่เปี่ยมด้วยสไตล์และนวัตกรรมเฉพาะตัว
MC20 เปิดตัวครั้งแรกในปี 2020 และยังคงเป็นเรือธงที่โดดเด่นของ Maserati ในปี 2025 ด้วยดีไซน์เครื่องยนต์วางกลาง 2 ที่นั่ง ที่ให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยว สง่างาม แต่แฝงไว้ด้วยความดุดัน หัวใจสำคัญของ MC20 คือ “เครื่องยนต์ Nettuno” V6 ทวินเทอร์โบ 3.0 ลิตร ที่พัฒนาขึ้นโดย Maserati เอง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปีที่ Maserati สร้างเครื่องยนต์ของตัวเองขึ้นมา เครื่องยนต์ Nettuno มาพร้อมเทคโนโลยี Pre-chamber Combustion ที่ได้แรงบันดาลใจจาก F1 ให้กำลังสูงสุดถึง 630 แรงม้า และแรงบิด 730 นิวตันเมตร ทำให้ MC20 สามารถเร่งความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 325 กม./ชม.
โครงสร้างของ MC20 สร้างขึ้นจาก “คาร์บอนไฟเบอร์ทั้งคัน” ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้น้ำหนักรวมของรถเบาเพียง 1,500 กิโลกรัม แต่ยังมอบความแข็งแกร่งและความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม ระบบกันสะเทือนแบบอิสระทั้งสี่ล้อ และระบบเบรกคาร์บอนเซรามิกประสิทธิภาพสูง เสริมให้ “สมรรถนะ MC20” มีความเหนือชั้นทั้งบนถนนและในสนามแข่ง
สิ่งที่ผมชื่นชอบใน MC20 คือ “ดีไซน์ Maserati” ที่ยังคงรักษาความหรูหราแบบอิตาเลียนไว้อย่างครบถ้วน ไม่ได้เน้นความหวือหวาฉูดฉาด แต่เน้นความสง่างามเหนือกาลเวลา ประตูแบบปีกผีเสื้อ (butterfly doors) เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่เพิ่มความพิเศษให้กับรถ ภายในห้องโดยสารผสมผสานความหรูหราและความสปอร์ตเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ด้วยการใช้วัสดุระดับพรีเมียมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่ง “Maserati MC20 ราคา” นั้นอาจจะสูง แต่คุณจะได้สัมผัสกับงานฝีมือและความเป็นอิตาลีอย่างแท้จริง
ในฐานะ “ซุปเปอร์คาร์ Maserati” MC20 มีให้เลือกหลากหลายรุ่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่น MC20 Coupe หลังคาแข็ง, MC20 Spider รุ่นเปิดประทุนที่มอบประสบการณ์การขับขี่แบบไร้ขีดจำกัด หรือแม้แต่รุ่น Trofeo สมรรถนะสูงที่อาจจะตามมาในอนาคต นี่คือรถที่แสดงให้เห็นว่า Maserati พร้อมแล้วที่จะกลับมาผงาดในตลาดซุปเปอร์คาร์ระดับโลกอีกครั้ง
Chevrolet Corvette C8: นิยามใหม่ของซุปเปอร์คาร์อเมริกันที่เข้าถึงได้
สำหรับผู้ที่อาจคิดว่าซุปเปอร์คาร์ต้องมีราคาเจ็ดหลักและมาจากยุโรปเท่านั้น “Chevrolet Corvette C8” คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า “ซุปเปอร์คาร์อเมริกัน” ก็สามารถมอบสมรรถนะที่เหนือชั้น ดีไซน์ที่โดดเด่น และประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจได้อย่างไม่แพ้ใคร และยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งในปี 2025 ในเรื่องของ “สมรรถนะ Corvette” เทียบกับ “Chevrolet Corvette C8 ราคา” ที่น่าจับต้อง
Corvette C8 ถือเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Corvette ด้วยการเปลี่ยนเลย์เอาต์จากเครื่องยนต์วางหน้าเป็น “เครื่องยนต์วางกลาง” (Mid-engine) เป็นครั้งแรก ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่แค่การออกแบบ แต่เป็นการยกระดับสมรรถนะและการควบคุมไปอีกขั้น ขุมพลังของ C8 คือเครื่องยนต์ LT2 V8 ขนาด 6.2 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศ ที่ให้กำลังสูงสุด 495 แรงม้า (ในรุ่น Performance Exhaust) และส่งกำลังไปยังล้อหลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8 สปีดที่ตอบสนองได้รวดเร็วเหลือเชื่อ
ด้วยการวางเครื่องยนต์กลางลำ ทำให้ C8 มีการกระจายน้ำหนักที่สมบูรณ์แบบ ส่งผลให้ “การขับขี่ Mid-engine” มีความคล่องตัวและยึดเกาะถนนได้ดีกว่าที่เคยเป็นมา อัตราเร่ง 0-96.5 กม./ชม. (0-60 ไมล์/ชม.) ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 312 กม./ชม. คือตัวเลขที่ทำให้ C8 สามารถท้าชนกับซุปเปอร์คาร์จากยุโรปได้อย่างภาคภูมิใจ
“ดีไซน์ภายนอกของ C8” นั้นโฉบเฉี่ยวและทันสมัย ด้วยไฟหน้า LED ที่สวยงามและกลมกลืน ช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ที่ด้านข้างไม่เพียงแต่เพื่อความสวยงาม แต่ยังทำหน้าที่ระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไฟท้ายแบบคู่ LED ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Corvette ยังคงโดดเด่น จุดเด่นอีกอย่างคือฝาครอบเครื่องยนต์โปร่งใสที่ด้านหลัง ทำให้คุณสามารถมองเห็น “เครื่องยนต์ LT2 V8” อันทรงพลังได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้รักรถยนต์ต่างชื่นชอบ ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบมาเพื่อคนขับโดยเฉพาะ ด้วยแผงคอนโซลกลางที่เอียงเข้าหาคนขับ และปุ่มควบคุมที่ใช้งานง่าย
ในตลาด “ซุปเปอร์คาร์” ปี 2025 Chevrolet Corvette C8 ยังคงเป็นตัวเลือกที่มอบ “สมรรถนะสูง” และ “ความคุ้มค่า” ที่ยากจะหาใครเทียบได้ มันคือนิยามใหม่ของซุปเปอร์คาร์ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าความเร็ว, ดีไซน์ และเทคโนโลยีไม่จำเป็นต้องมาพร้อมกับป้ายราคาที่แพงเกินเอื้อม หากคุณกำลังมองหาซุปเปอร์คาร์ที่สร้างความตื่นเต้นได้ทุกวัน และยังคงสะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งยนตรกรรมอเมริกันอย่างแท้จริง C8 คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม
สรุป: อนาคตที่น่าตื่นเต้นของวงการซุปเปอร์คาร์ในยุค 2025
จากซุปเปอร์คาร์ทั้ง 6 คันที่เราได้สำรวจกันมา จะเห็นได้ชัดว่าปี 2025 เป็นยุคที่เต็มไปด้วยความหลากหลายและ “นวัตกรรมยานยนต์ 2025” ที่น่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการผสานพลังไฮบริดอย่างชาญฉลาดจาก Ferrari และ McLaren, ความเป็นเพียวริสต์ที่หาได้ยากยิ่งจาก Porsche, ความเร้าใจดุดันของ Lamborghini, การกลับมาอย่างสง่างามของ Maserati หรือความคุ้มค่าที่เหนือความคาดหมายจาก Chevrolet ทุกคันล้วนเป็นตัวแทนของ “ความหลงใหลในความเร็ว” และวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยมในแบบฉบับของตัวเอง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการ ผมมองว่า “อนาคตซุปเปอร์คาร์” จะยังคงพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยการผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้น ทั้งด้านพลังงานทางเลือก, AI, และวัสดุศาสตร์ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าความคาดหมายอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลงคือ “อารมณ์” และ “ความเร้าใจ” ที่ซุปเปอร์คาร์มอบให้กับผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นแก่นแท้ที่ทำให้ยนตรกรรมเหล่านี้ยังคงเป็นความฝันของใครหลายคน
หากคุณพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โลกแห่ง “ซุปเปอร์คาร์” และสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นเหล่านี้ด้วยตัวคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นการค้นหา “ราคาซุปเปอร์คาร์” ที่เหมาะสม หรือต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อเป็นเจ้าของยนตรกรรมในฝัน อย่าลังเลที่จะติดต่อเราเพื่อปรึกษา หรือสำรวจบทความและข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ ของเราเพื่อค้นพบโลกแห่งยานยนต์สมรรถนะสูงที่ไร้ขีดจำกัด ผมเชื่อว่าคุณจะพบกับซุปเปอร์คาร์ที่ “ใช่” สำหรับคุณอย่างแน่นอน.

