• Privacy Policy
  • Sample Page
News
No Result
View All Result
No Result
View All Result
News
No Result
View All Result

ไบร์ท วชิรวิชญ์ พร้อมคุณแม่ บริจาค 1,000,000 บาท ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่

admin79 by admin79
November 30, 2025
in Uncategorized
0
ไบร์ท วชิรวิชญ์ พร้อมคุณแม่ บริจาค 1,000,000 บาท ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่

แม้ว่าสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ระดับน้ำลดลงแล้ว ไบร์ท วชิรวิชญ์ และคุณแม่ ได้ร่วมมอบเงินบริจาคเป็นจำนวน 1,000,000 บาท เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวหาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งบ้านเรือนเสียหาย และประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 68) จูน กษมา ได้โพสต์ภาพสลิปโอนเงินผ่านอิสตราแกรมส่วนตัวว่า พระเอกหนุ่ม ไบร์ท วชิรวิชญ์ และคุณแม่ ร่วมบริจาคเงิน 1,000,000 บาท โดยแบ่งโอนทั้งหมด 2 ครั้ง รอบแรก 1 แสนบาท และรอบที่สองอีก 9 แสนบาท ผ่านโรงครัวแม่จูน ไปมอบให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ โดยระบุข้อความว่า 

“พี่ไบร์ทและคุณแม่ ร่วมบริจาค 1,000,000 บาท ไปค่ะ อังคารนี้เราจะไปมอบให้ผู้ประสบภัยด้วยกันนะพี่ไบร์ท หาดใหญ่เจอกันค่ะ ขอบคุณนะคะ 🙏🏻🫶🏼🤍 @bright @mombbrightvc”.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน

แนวโน้มและบทสรุปตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2567: ถอดรหัสผู้ชนะตัวจริงและความท้าทายปี 2568

ปี 2567 ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย หลังจากการประเมินสถานการณ์ในปี 2566 ที่หลายฝ่ายต่างยอมรับว่าเป็นปีแห่งความผิดหวังและเต็มไปด้วยแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ปีที่ผ่านมา (2567) ตลาดได้พยายามปรับสมดุลและสร้างแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ เพื่อฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะไม่ใช่การฟื้นตัวแบบก้าวกระโดด แต่ก็เห็นสัญญาณบวกจากผู้ประกอบการที่ปรับตัวได้ดี และพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญความไม่แน่นอน ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อที่ผันผวน อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมาเต็มที่ การทำความเข้าใจผลประกอบการของบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อถอดรหัสกลยุทธ์อสังหาริมทรัพย์ของผู้ชนะ และเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นความท้าทายใหม่ๆ ในปี 2568

จากประสบการณ์กว่าทศวรรษในแวดวงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ผมได้เฝ้าสังเกตและวิเคราะห์พลวัตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยมาอย่างต่อเนื่อง และพบว่าตลาดในปี 2567 นั้นเป็นปีที่ผู้ประกอบการต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการความเสี่ยงและค้นหาช่องทางสร้างการเติบโตอย่างแท้จริง Property Mentor ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจาก 41 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อประเมินผลการดำเนินงานในปี 2567 และชี้ให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่แตกต่างกันในการรับมือกับสภาพตลาดที่มีความซับซ้อนนี้ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม รวมถึงความต้องการที่คำนึงถึงความยั่งยืนและเทคโนโลยี PropTech มากขึ้น ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ภูมิทัศน์ของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2567: ฟื้นตัวท่ามกลางกระแสคลื่นแห่งความท้าทาย

ปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากหลายปัจจัย เริ่มต้นจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังคงรักษาระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนทางการเงินของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ต้องการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทำให้การตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมเป็นไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น กำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในกลุ่มระดับกลางถึงล่างที่ยังคงเผชิญกับภาระหนี้ครัวเรือนสูง ประกอบกับสถาบันการเงินที่เข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น ทว่า ในอีกด้านหนึ่ง ตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูและกลุ่มพรีเมียมกลับยังคงมีความต้องการสูง โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงและนักลงทุนต่างชาติที่มองเห็นโอกาสในการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย การเติบโตของการลงทุนต่างชาติในอสังหาฯ ในบางทำเล เช่น ภูเก็ต พัทยา และกรุงเทพฯ ชั้นใน บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางของการพักผ่อนและการลงทุน

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐบางอย่าง เช่น มาตรการผ่อนปรน LTV ที่สิ้นสุดลง ทำให้การกู้ซื้อที่อยู่อาศัยยากขึ้นเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกัน การผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ และการพัฒนาเมืองรอบสถานี ได้สร้างโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า โครงการมิกซ์ยูสที่ผสมผสานที่อยู่อาศัย ศูนย์การค้า และพื้นที่สำนักงานยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดทั้งนักลงทุนและผู้บริโภค เนื่องจากตอบสนองความต้องการการใช้ชีวิตแบบครบวงจรในที่เดียว อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากราคาวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้น และปัญหาการขาดแคลนแรงงานบางประเภท การบริหารจัดการต้นทุนจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาความสามารถในการทำกำไร

เจาะลึกผลประกอบการรวม 41 บริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ปี 2567

โดยรวมแล้ว บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 41 รายที่ทำการสำรวจ สามารถสร้างรายได้รวมกันกว่า 385,200 ล้านบาทในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 3.7% จากปี 2566 ที่มีรายได้รวม 371,560 ล้านบาท การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการส่งมอบโครงการที่สร้างเสร็จ รวมถึงการขยายพอร์ตการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง แต่เมื่อพิจารณารายบริษัท จะพบว่ามีประมาณ 20 บริษัทที่สามารถทำรายได้รวมเติบโตได้ ส่วนที่เหลือยังคงเผชิญกับภาวะชะลอตัวหรือลดลงเล็กน้อย ซึ่งสะท้อนถึงการแข่งขันที่รุนแรงและสภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยสำหรับทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน

รายได้รวม: แรงเหวี่ยงใหม่ในสมรภูมิเดิม

ในปี 2567 บริษัทที่สามารถสร้างรายได้รวมโดดเด่นมักเป็นผู้ที่มีกลยุทธ์ที่หลากหลายและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมหรูและบ้านเดี่ยวราคาแพง ยังคงเป็นเซกเมนต์ที่สร้างรายได้ดีที่สุด แสนสิริยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำด้านรายได้รวมไว้ได้อย่างแข็งแกร่งด้วยยอดรวมกว่า 42,500 ล้านบาท เติบโตประมาณ 8% จากปีก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการส่งมอบโครงการจำนวนมากและการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เอพี (ไทยแลนด์) ติดตามมาอย่างใกล้ชิดด้วยรายได้รวม 40,800 ล้านบาท โดยเน้นกลยุทธ์การเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ในหลากหลายเซกเมนต์ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม

ศุภาลัยยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ ด้วยรายได้รวมประมาณ 33,500 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงความมั่นคงในการดำเนินงานและฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง แลนด์แอนด์เฮ้าส์ แม้จะเผชิญกับความท้าทายในปีก่อน แต่ก็สามารถปรับตัวและทำรายได้รวมได้ถึง 31,200 ล้านบาท โดยเน้นการบริหารพอร์ตอสังหาฯ ให้มีความหลากหลายและเน้นกลุ่มบ้านเดี่ยวคุณภาพสูง พฤกษา โฮลดิ้ง ที่แม้จะมีการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์ แต่ก็ยังทำรายได้รวมได้ประมาณ 27,500 ล้านบาท แสดงถึงศักยภาพในการปรับตัว

สำหรับบริษัทที่น่าจับตามองในแง่การเติบโตของรายได้รวมในปี 2567 คือ SC Asset ที่มีการขยายพอร์ตโฟลิโอไปสู่โครงการมิกซ์ยูสและที่อยู่อาศัยระดับกลาง-บน ทำให้รายได้รวมแตะ 26,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Central Pattana ก็ได้แสดงผลงานที่น่าประทับใจจากการส่งมอบโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ของตนที่ได้รับความนิยม ผสานกับการบริหารศูนย์การค้าที่แข็งแกร่ง ทำให้รายได้รวมเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

รายได้จากการขาย: หัวใจสำคัญของธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ

การวัดผลความสำเร็จที่แท้จริงของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องพิจารณาจากรายได้จากการขาย ซึ่งในปี 2567 ทั้ง 41 บริษัทมียอดรวมรายได้จากการขายอยู่ที่ 282,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 5% จากปี 2566 ที่มียอดรวม 268,460 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนว่าผู้ประกอบการหลายรายสามารถระบายสต็อกคงค้างและเปิดตัวโครงการใหม่ได้ดีขึ้น แม้ตลาดจะยังคงมีความท้าทาย

เอพี (ไทยแลนด์) ยังคงเป็นผู้นำอันดับ 1 ด้านรายได้จากการขายด้วยยอดรวม 38,500 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการเจาะตลาดและการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งในทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่ยังคงเป็นเรือธงในการสร้างรายได้ สอดรับกับแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้บริโภคยังคงต้องการพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางขึ้นหลังสถานการณ์โรคระบาด แสนสิริ ตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยรายได้จากการขาย 35,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องและเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวที่ประสบความสำเร็จ

ศุภาลัยยังคงรักษาระดับการขายได้อย่างมั่นคงด้วยยอด 32,500 ล้านบาท โดยเน้นโครงการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดต่างจังหวัดได้ดี SC Asset ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยมียอดขายถึง 25,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจากโครงการบ้านหรูแล้ว ยังมีการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่น่าสนใจ พฤกษา โฮลดิ้ง มียอดขายรวม 23,800 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการปรับกลยุทธ์และเพิ่มประสิทธิภาพการขาย

ที่น่าสนใจคือ Central Pattana ที่กระโดดขึ้นมาในกลุ่ม Top 10 ด้านยอดขายอย่างชัดเจน โดยมียอดขายจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายถึง 8,500 ล้านบาท เติบโตกว่า 45% จากปีก่อนหน้า ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จในการรุกเข้าสู่ธุรกิจที่อยู่อาศัยอย่างเต็มตัว และสามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งโครงการที่มักอยู่ใกล้ศูนย์การค้าของตนเอง นอกจากนี้ Origin Property และ Property Perfect ก็ยังคงรักษาระดับการขายที่ดี โดยเน้นกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป ทั้งการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มและการพัฒนาโครงการที่หลากหลาย

กำไรสุทธิ: บทพิสูจน์ความแข็งแกร่งและกลยุทธ์การบริหารต้นทุน

ท้ายที่สุดแล้ว กำไรสุทธิคือตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดของการดำเนินธุรกิจ ในปี 2567 ทั้ง 41 บริษัททำกำไรสุทธิรวมกันได้ 48,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตประมาณ 10% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิรวม 44,165 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการปรับโครงสร้างธุรกิจของผู้ประกอบการหลายราย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบริษัทประมาณ 8-10 แห่งที่ยังคงประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง หรือมีกำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ กลับมาผงาดเป็นอันดับ 1 ด้านกำไรสุทธิด้วยยอดกว่า 8,200 ล้านบาท แม้ปีก่อนจะมีการขายสินทรัพย์พิเศษ แต่ในปีนี้กำไรที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม การควบคุมต้นทุนอย่างรัดกุม และการบริหารพอร์ตการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ทำให้ยืนหนึ่งในเรื่องความสามารถในการทำกำไรได้อย่างไม่เป็นรองใคร ศุภาลัยตามมาในอันดับ 2 ด้วยกำไรสุทธิ 6,500 ล้านบาท แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรจากยอดขายที่มั่นคงและต้นทุนที่บริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เอพี (ไทยแลนด์) ยังคงทำกำไรได้ดีในอันดับ 3 ด้วยยอด 6,300 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนความสำเร็จจากการวางแผนการขายและการส่งมอบโครงการที่แม่นยำ แสนสิริ ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ด้วยกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 6,100 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่งและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Origin Property แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่ก็ยังทำกำไรสุทธิได้ 3,300 ล้านบาท โดยเน้นโครงการที่มีอัตรากำไรสูง และการบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างชาญฉลาด

SC Asset ยังคงเป็นดาวเด่นในเรื่องการเติบโตของกำไรสุทธิ โดยทำได้ถึง 2,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการขยายฐานลูกค้าและการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ควอลิตี้เฮ้าส์ และพฤกษา โฮลดิ้ง ก็ยังคงทำกำไรได้ดีในระดับ 2,600 ล้านบาท และ 2,500 ล้านบาทตามลำดับ แสดงถึงความมั่นคงในธุรกิจหลัก เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ และ สิงห์ เอสเตท ก็ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดที่สามารถสร้างกำไรได้ต่อเนื่อง

ปัจจัยขับเคลื่อนและคลื่นความท้าทายใหม่สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568

เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเผชิญกับปัจจัยใหม่ๆ ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ประการแรกคือ “ความยั่งยืนในอสังหาฯ” หรือ ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ผู้บริโภคและนักลงทุนต่างหันมาให้ความสำคัญกับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน ผู้ประกอบการที่ไม่ปรับตัวจะเสียเปรียบในการแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประการที่สองคือ “เทคโนโลยี PropTech” ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง การตลาด ไปจนถึงการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ การนำ AI, Big Data, และ IoT มาใช้จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้ลึกซึ้งขึ้น และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างแม่นยำ รวมถึงลดต้นทุนและเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน

ประการที่สามคือ “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร” สังคมสูงวัยและการลดลงของขนาดครอบครัวจะส่งผลต่อประเภทของที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยม โครงการที่ตอบโจทย์ผู้สูงอายุ การออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) และที่อยู่อาศัยขนาดเล็กลงแต่ฟังก์ชันครบครัน จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความคล่องตัวจะยังคงเป็นตลาดสำคัญสำหรับคอนโดมิเนียมและทาวน์โฮมในทำเลศักยภาพ

ประการที่สี่คือ “สถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคและภูมิรัฐศาสตร์โลก” ความตึงเครียดทางการค้าและนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจจะยังคงส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในอสังหาฯ ไทย การบริหารความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง นอกจากนี้ “นโยบายภาครัฐ” ที่เกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, และการอำนวยความสะดวกในการลงทุนต่างชาติ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถพลิกโฉมตลาดได้

สรุปและบทส่งท้าย: ก้าวสู่ปี 2568 ด้วยวิสัยทัศน์ที่เฉียบคม

ปี 2567 เป็นเครื่องยืนยันว่า แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะยังคงอยู่ในช่วงของการปรับตัว แต่ผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการปรับตัวจะยังคงสามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นและเป็นผู้ชนะตัวจริงได้ ไม่ใช่เพียงแค่การเร่งยอดขาย แต่เป็นการบริหารจัดการต้นทุน การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ และการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของตลาดได้อย่างแม่นยำ

ในมุมมองของผม ปี 2568 จะเป็นปีที่ท้าทายยิ่งกว่าเดิม แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงและลงทุนในนวัตกรรม การศึกษาตลาดอย่างลึกซึ้ง การสร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์ และการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ผู้ประกอบการที่สามารถผสานรวมเทคโนโลยี PropTech เข้ากับกระบวนการทำงาน การสร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในอนาคต และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ จะเป็นผู้ที่สามารถนำพาองค์กรและตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ก้าวผ่านยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้อย่างแข็งแกร่ง

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแค่การสร้างที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ การลงทุนในคุณภาพชีวิต และการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หากคุณเป็นหนึ่งในนักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือผู้สนใจในวงการนี้ การเตรียมพร้อมด้วยข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์ที่เฉียบคมจึงเป็นสิ่งจำเป็น

คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะร่วมถอดรหัสและสร้างอนาคตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไปพร้อมกับเรา? ติดตามบทวิเคราะห์เชิงลึกและแนวโน้มล่าสุดจาก Property Mentor เพื่อให้คุณไม่พลาดทุกโอกาสในการลงทุนและพัฒนาในทิศทางที่ถูกต้อง!

Previous Post

ปัตตานีท่วมสูง 2–3 เมตร ถนนหลายสายถูกตัดขาด ขาดแคลนน้ำดื่ม ชาวบ้านน้อยใจไร้อาสาช่วยเหมือนพื้นที่อื่น

Next Post

ชายผู้ประสบภัยน้ำท่วมตั้งเต็นท์นอนริมถนน ร่ำไห้หลังบ้านถูกน้ำพัดหายไม่เหลือแม้แต่เสา

Next Post
ชายผู้ประสบภัยน้ำท่วมตั้งเต็นท์นอนริมถนน ร่ำไห้หลังบ้านถูกน้ำพัดหายไม่เหลือแม้แต่เสา

ชายผู้ประสบภัยน้ำท่วมตั้งเต็นท์นอนริมถนน ร่ำไห้หลังบ้านถูกน้ำพัดหายไม่เหลือแม้แต่เสา

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • “ทนายเจมส์” ตั้งข้อสงสัย หลังมี 2 สายโทรอ้างเป็นน้องคนสนิทของ “นัทปง” โทรตามจี้ถามเรื่องพินัยกรรมกลางงานศพ!
  • “เสือโคร่งโตเต็มวัย” โผล่ที่ผารักษ์สลัดได จ.ปราจีนบุรี เจ้าหน้าที่ชี้เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติ เตือนประชาชนให้ระวังแต่ไม่ต้องตระหนก!!
  • ความเสียหายเศรษฐกิจจากน้ำท่วมหาดใหญ่ พุ่งคาดแตะแสนล้านบาท ขยะตกค้างทะลุ 1 ล้านตัน!
  • หัวหน้าเพื่อไทยโต้ข่าว ยืนยันไม่จริงเรื่องยื่นซักฟอก ขออย่าตื่นตระหนกตามกระแส ชี้ทุกอย่างต้องรอถามที่ประชุม ส.ส. ก่อน
  • โรงงานทำขนมจีนที่ อ.ปาย ระเบิดสนั่น! ชาวบ้านตกใจทั่วพื้นที่

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.