แม้ว่าสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ระดับน้ำลดลงแล้ว ไบร์ท วชิรวิชญ์ และคุณแม่ ได้ร่วมมอบเงินบริจาคเป็นจำนวน 1,000,000 บาท เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวหาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งบ้านเรือนเสียหาย และประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 68) จูน กษมา ได้โพสต์ภาพสลิปโอนเงินผ่านอิสตราแกรมส่วนตัวว่า พระเอกหนุ่ม ไบร์ท วชิรวิชญ์ และคุณแม่ ร่วมบริจาคเงิน 1,000,000 บาท โดยแบ่งโอนทั้งหมด 2 ครั้ง รอบแรก 1 แสนบาท และรอบที่สองอีก 9 แสนบาท ผ่านโรงครัวแม่จูน ไปมอบให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ โดยระบุข้อความว่า
“พี่ไบร์ทและคุณแม่ ร่วมบริจาค 1,000,000 บาท ไปค่ะ อังคารนี้เราจะไปมอบให้ผู้ประสบภัยด้วยกันนะพี่ไบร์ท หาดใหญ่เจอกันค่ะ ขอบคุณนะคะ 🙏🏻🫶🏼🤍 @bright @mombbrightvc”.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน
แนวโน้มและบทสรุปตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2567: ถอดรหัสผู้ชนะตัวจริงและความท้าทายปี 2568
ปี 2567 ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย หลังจากการประเมินสถานการณ์ในปี 2566 ที่หลายฝ่ายต่างยอมรับว่าเป็นปีแห่งความผิดหวังและเต็มไปด้วยแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ปีที่ผ่านมา (2567) ตลาดได้พยายามปรับสมดุลและสร้างแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ เพื่อฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะไม่ใช่การฟื้นตัวแบบก้าวกระโดด แต่ก็เห็นสัญญาณบวกจากผู้ประกอบการที่ปรับตัวได้ดี และพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญความไม่แน่นอน ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อที่ผันผวน อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมาเต็มที่ การทำความเข้าใจผลประกอบการของบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อถอดรหัสกลยุทธ์อสังหาริมทรัพย์ของผู้ชนะ และเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นความท้าทายใหม่ๆ ในปี 2568
จากประสบการณ์กว่าทศวรรษในแวดวงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ผมได้เฝ้าสังเกตและวิเคราะห์พลวัตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยมาอย่างต่อเนื่อง และพบว่าตลาดในปี 2567 นั้นเป็นปีที่ผู้ประกอบการต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการความเสี่ยงและค้นหาช่องทางสร้างการเติบโตอย่างแท้จริง Property Mentor ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจาก 41 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อประเมินผลการดำเนินงานในปี 2567 และชี้ให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่แตกต่างกันในการรับมือกับสภาพตลาดที่มีความซับซ้อนนี้ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม รวมถึงความต้องการที่คำนึงถึงความยั่งยืนและเทคโนโลยี PropTech มากขึ้น ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ภูมิทัศน์ของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2567: ฟื้นตัวท่ามกลางกระแสคลื่นแห่งความท้าทาย
ปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากหลายปัจจัย เริ่มต้นจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังคงรักษาระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนทางการเงินของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ต้องการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทำให้การตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมเป็นไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น กำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในกลุ่มระดับกลางถึงล่างที่ยังคงเผชิญกับภาระหนี้ครัวเรือนสูง ประกอบกับสถาบันการเงินที่เข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น ทว่า ในอีกด้านหนึ่ง ตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูและกลุ่มพรีเมียมกลับยังคงมีความต้องการสูง โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงและนักลงทุนต่างชาติที่มองเห็นโอกาสในการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย การเติบโตของการลงทุนต่างชาติในอสังหาฯ ในบางทำเล เช่น ภูเก็ต พัทยา และกรุงเทพฯ ชั้นใน บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางของการพักผ่อนและการลงทุน
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐบางอย่าง เช่น มาตรการผ่อนปรน LTV ที่สิ้นสุดลง ทำให้การกู้ซื้อที่อยู่อาศัยยากขึ้นเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกัน การผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ และการพัฒนาเมืองรอบสถานี ได้สร้างโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า โครงการมิกซ์ยูสที่ผสมผสานที่อยู่อาศัย ศูนย์การค้า และพื้นที่สำนักงานยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดทั้งนักลงทุนและผู้บริโภค เนื่องจากตอบสนองความต้องการการใช้ชีวิตแบบครบวงจรในที่เดียว อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากราคาวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้น และปัญหาการขาดแคลนแรงงานบางประเภท การบริหารจัดการต้นทุนจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาความสามารถในการทำกำไร
เจาะลึกผลประกอบการรวม 41 บริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ปี 2567
โดยรวมแล้ว บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 41 รายที่ทำการสำรวจ สามารถสร้างรายได้รวมกันกว่า 385,200 ล้านบาทในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 3.7% จากปี 2566 ที่มีรายได้รวม 371,560 ล้านบาท การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการส่งมอบโครงการที่สร้างเสร็จ รวมถึงการขยายพอร์ตการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง แต่เมื่อพิจารณารายบริษัท จะพบว่ามีประมาณ 20 บริษัทที่สามารถทำรายได้รวมเติบโตได้ ส่วนที่เหลือยังคงเผชิญกับภาวะชะลอตัวหรือลดลงเล็กน้อย ซึ่งสะท้อนถึงการแข่งขันที่รุนแรงและสภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยสำหรับทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน
รายได้รวม: แรงเหวี่ยงใหม่ในสมรภูมิเดิม
ในปี 2567 บริษัทที่สามารถสร้างรายได้รวมโดดเด่นมักเป็นผู้ที่มีกลยุทธ์ที่หลากหลายและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมหรูและบ้านเดี่ยวราคาแพง ยังคงเป็นเซกเมนต์ที่สร้างรายได้ดีที่สุด แสนสิริยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำด้านรายได้รวมไว้ได้อย่างแข็งแกร่งด้วยยอดรวมกว่า 42,500 ล้านบาท เติบโตประมาณ 8% จากปีก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการส่งมอบโครงการจำนวนมากและการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เอพี (ไทยแลนด์) ติดตามมาอย่างใกล้ชิดด้วยรายได้รวม 40,800 ล้านบาท โดยเน้นกลยุทธ์การเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ในหลากหลายเซกเมนต์ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม
ศุภาลัยยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ ด้วยรายได้รวมประมาณ 33,500 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงความมั่นคงในการดำเนินงานและฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง แลนด์แอนด์เฮ้าส์ แม้จะเผชิญกับความท้าทายในปีก่อน แต่ก็สามารถปรับตัวและทำรายได้รวมได้ถึง 31,200 ล้านบาท โดยเน้นการบริหารพอร์ตอสังหาฯ ให้มีความหลากหลายและเน้นกลุ่มบ้านเดี่ยวคุณภาพสูง พฤกษา โฮลดิ้ง ที่แม้จะมีการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์ แต่ก็ยังทำรายได้รวมได้ประมาณ 27,500 ล้านบาท แสดงถึงศักยภาพในการปรับตัว
สำหรับบริษัทที่น่าจับตามองในแง่การเติบโตของรายได้รวมในปี 2567 คือ SC Asset ที่มีการขยายพอร์ตโฟลิโอไปสู่โครงการมิกซ์ยูสและที่อยู่อาศัยระดับกลาง-บน ทำให้รายได้รวมแตะ 26,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Central Pattana ก็ได้แสดงผลงานที่น่าประทับใจจากการส่งมอบโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ของตนที่ได้รับความนิยม ผสานกับการบริหารศูนย์การค้าที่แข็งแกร่ง ทำให้รายได้รวมเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
รายได้จากการขาย: หัวใจสำคัญของธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ
การวัดผลความสำเร็จที่แท้จริงของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องพิจารณาจากรายได้จากการขาย ซึ่งในปี 2567 ทั้ง 41 บริษัทมียอดรวมรายได้จากการขายอยู่ที่ 282,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 5% จากปี 2566 ที่มียอดรวม 268,460 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนว่าผู้ประกอบการหลายรายสามารถระบายสต็อกคงค้างและเปิดตัวโครงการใหม่ได้ดีขึ้น แม้ตลาดจะยังคงมีความท้าทาย
เอพี (ไทยแลนด์) ยังคงเป็นผู้นำอันดับ 1 ด้านรายได้จากการขายด้วยยอดรวม 38,500 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการเจาะตลาดและการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งในทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่ยังคงเป็นเรือธงในการสร้างรายได้ สอดรับกับแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้บริโภคยังคงต้องการพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางขึ้นหลังสถานการณ์โรคระบาด แสนสิริ ตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยรายได้จากการขาย 35,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องและเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวที่ประสบความสำเร็จ
ศุภาลัยยังคงรักษาระดับการขายได้อย่างมั่นคงด้วยยอด 32,500 ล้านบาท โดยเน้นโครงการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดต่างจังหวัดได้ดี SC Asset ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยมียอดขายถึง 25,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจากโครงการบ้านหรูแล้ว ยังมีการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่น่าสนใจ พฤกษา โฮลดิ้ง มียอดขายรวม 23,800 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการปรับกลยุทธ์และเพิ่มประสิทธิภาพการขาย
ที่น่าสนใจคือ Central Pattana ที่กระโดดขึ้นมาในกลุ่ม Top 10 ด้านยอดขายอย่างชัดเจน โดยมียอดขายจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายถึง 8,500 ล้านบาท เติบโตกว่า 45% จากปีก่อนหน้า ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จในการรุกเข้าสู่ธุรกิจที่อยู่อาศัยอย่างเต็มตัว และสามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งโครงการที่มักอยู่ใกล้ศูนย์การค้าของตนเอง นอกจากนี้ Origin Property และ Property Perfect ก็ยังคงรักษาระดับการขายที่ดี โดยเน้นกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป ทั้งการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มและการพัฒนาโครงการที่หลากหลาย
กำไรสุทธิ: บทพิสูจน์ความแข็งแกร่งและกลยุทธ์การบริหารต้นทุน
ท้ายที่สุดแล้ว กำไรสุทธิคือตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดของการดำเนินธุรกิจ ในปี 2567 ทั้ง 41 บริษัททำกำไรสุทธิรวมกันได้ 48,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตประมาณ 10% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิรวม 44,165 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการปรับโครงสร้างธุรกิจของผู้ประกอบการหลายราย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบริษัทประมาณ 8-10 แห่งที่ยังคงประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง หรือมีกำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ กลับมาผงาดเป็นอันดับ 1 ด้านกำไรสุทธิด้วยยอดกว่า 8,200 ล้านบาท แม้ปีก่อนจะมีการขายสินทรัพย์พิเศษ แต่ในปีนี้กำไรที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม การควบคุมต้นทุนอย่างรัดกุม และการบริหารพอร์ตการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ทำให้ยืนหนึ่งในเรื่องความสามารถในการทำกำไรได้อย่างไม่เป็นรองใคร ศุภาลัยตามมาในอันดับ 2 ด้วยกำไรสุทธิ 6,500 ล้านบาท แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรจากยอดขายที่มั่นคงและต้นทุนที่บริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เอพี (ไทยแลนด์) ยังคงทำกำไรได้ดีในอันดับ 3 ด้วยยอด 6,300 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนความสำเร็จจากการวางแผนการขายและการส่งมอบโครงการที่แม่นยำ แสนสิริ ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ด้วยกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 6,100 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่งและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Origin Property แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่ก็ยังทำกำไรสุทธิได้ 3,300 ล้านบาท โดยเน้นโครงการที่มีอัตรากำไรสูง และการบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างชาญฉลาด
SC Asset ยังคงเป็นดาวเด่นในเรื่องการเติบโตของกำไรสุทธิ โดยทำได้ถึง 2,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการขยายฐานลูกค้าและการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ควอลิตี้เฮ้าส์ และพฤกษา โฮลดิ้ง ก็ยังคงทำกำไรได้ดีในระดับ 2,600 ล้านบาท และ 2,500 ล้านบาทตามลำดับ แสดงถึงความมั่นคงในธุรกิจหลัก เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ และ สิงห์ เอสเตท ก็ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดที่สามารถสร้างกำไรได้ต่อเนื่อง
ปัจจัยขับเคลื่อนและคลื่นความท้าทายใหม่สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568
เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเผชิญกับปัจจัยใหม่ๆ ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ประการแรกคือ “ความยั่งยืนในอสังหาฯ” หรือ ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ผู้บริโภคและนักลงทุนต่างหันมาให้ความสำคัญกับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน ผู้ประกอบการที่ไม่ปรับตัวจะเสียเปรียบในการแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประการที่สองคือ “เทคโนโลยี PropTech” ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง การตลาด ไปจนถึงการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ การนำ AI, Big Data, และ IoT มาใช้จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้ลึกซึ้งขึ้น และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างแม่นยำ รวมถึงลดต้นทุนและเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน
ประการที่สามคือ “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร” สังคมสูงวัยและการลดลงของขนาดครอบครัวจะส่งผลต่อประเภทของที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยม โครงการที่ตอบโจทย์ผู้สูงอายุ การออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) และที่อยู่อาศัยขนาดเล็กลงแต่ฟังก์ชันครบครัน จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความคล่องตัวจะยังคงเป็นตลาดสำคัญสำหรับคอนโดมิเนียมและทาวน์โฮมในทำเลศักยภาพ
ประการที่สี่คือ “สถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคและภูมิรัฐศาสตร์โลก” ความตึงเครียดทางการค้าและนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจจะยังคงส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในอสังหาฯ ไทย การบริหารความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง นอกจากนี้ “นโยบายภาครัฐ” ที่เกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, และการอำนวยความสะดวกในการลงทุนต่างชาติ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถพลิกโฉมตลาดได้
สรุปและบทส่งท้าย: ก้าวสู่ปี 2568 ด้วยวิสัยทัศน์ที่เฉียบคม
ปี 2567 เป็นเครื่องยืนยันว่า แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะยังคงอยู่ในช่วงของการปรับตัว แต่ผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการปรับตัวจะยังคงสามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นและเป็นผู้ชนะตัวจริงได้ ไม่ใช่เพียงแค่การเร่งยอดขาย แต่เป็นการบริหารจัดการต้นทุน การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ และการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของตลาดได้อย่างแม่นยำ
ในมุมมองของผม ปี 2568 จะเป็นปีที่ท้าทายยิ่งกว่าเดิม แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงและลงทุนในนวัตกรรม การศึกษาตลาดอย่างลึกซึ้ง การสร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์ และการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ผู้ประกอบการที่สามารถผสานรวมเทคโนโลยี PropTech เข้ากับกระบวนการทำงาน การสร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในอนาคต และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ จะเป็นผู้ที่สามารถนำพาองค์กรและตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ก้าวผ่านยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้อย่างแข็งแกร่ง
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแค่การสร้างที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ การลงทุนในคุณภาพชีวิต และการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หากคุณเป็นหนึ่งในนักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือผู้สนใจในวงการนี้ การเตรียมพร้อมด้วยข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์ที่เฉียบคมจึงเป็นสิ่งจำเป็น
คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะร่วมถอดรหัสและสร้างอนาคตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไปพร้อมกับเรา? ติดตามบทวิเคราะห์เชิงลึกและแนวโน้มล่าสุดจาก Property Mentor เพื่อให้คุณไม่พลาดทุกโอกาสในการลงทุนและพัฒนาในทิศทางที่ถูกต้อง!

