หลังจากที่นักแสดงสาว แอน อลิชา โพสต์ข้อความในไอจีสตอรี่ว่า “เห็นแก่ตัวที่สุด!! น้ำใจไม่มี ทีเรื่องตัวเองถึงไหนถึงกัน” ทำให้ชาวเน็ตต่างสงสัยว่าหมายถึงเรื่องของแก๊งนางฟ้าที่มีปัญหากันในเวลานี้หรือไม่


แต่หลังจากนั้นไม่นาน แอน อลิชา ไม่ปล่อยให้คนคาใจ คอมเมนต์อธิบายใต้โพสต์สตอรี่ไว้สั้นๆ ว่า “เรื่องคนในครอบครัวค่ะ ไม่มีอะไร”
…

และล่าสุด แอน อลิชา เคลื่อนไหวไอจีสตอรี่อีกครั้งด้วยการโพสต์ให้กำลังใจเพื่อนในแก๊งนางฟ้าอย่างนางเอกสาว เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ โดยแคปภาพข้อความในไอจีสตอรี่ของเจนี่ที่เขียนว่า “คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับตัว …”
พร้อมทั้งเขียนข้อความว่า “เป็นกำลังใจให้นะเจี๊ยบ เรื่องนี้หนักจริง มะลิรักเจี๊ยบนะ” ใส่อีโมจิร้องไห้และหัวใจแตกสลาย แท็กไปที่ไอจีของเจนี่ ซึ่งเจนี่ก็ได้รีโพสต์ที่ แอน อลิชา โพสต์ให้กำลังใจในไอจีสตอรี่ด้วย


คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม
อสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568: ถอดรหัสอนาคต จากบทเรียนผู้เล่นแถวหน้าและกลยุทธ์สู่ชัยชนะที่ยั่งยืน
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวัฏจักรขึ้นลงของตลาดมาแล้วหลายครั้งหลายครา และหากจะมีปีใดที่ต้องบันทึกไว้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างก้าวกระโดด คงหนีไม่พ้นปี 2568 นี้ ที่เปรียบเสมือนบทสรุปจากสถานการณ์อันท้าทายในปี 2566 และ 2567 ตลาดอสังหาฯ ของไทยได้ผ่านช่วงเวลาที่เปราะบาง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาของการปรับโครงสร้างและแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคที่ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึก กลยุทธ์ที่เฉียบคม และความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว
จากข้อมูลที่เราได้รวบรวมและวิเคราะห์จากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กว่า 41 แห่ง เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า ตลาดไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยแบบเดิม ๆ อีกต่อไป ผู้ชนะที่แท้จริงไม่ใช่เพียงแค่ผู้ที่ทำรายได้สูงสุดเท่านั้น แต่คือผู้ที่มีความยืดหยุ่นทางการเงิน มีความสามารถในการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืน และปรับตัวรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างชาญฉลาด บทความนี้จะเจาะลึกถึงภูมิทัศน์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 โดยถอดบทเรียนจากอดีต สู่กลยุทธ์การเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต
ภูมิทัศน์เศรษฐกิจมหภาคที่หล่อหลอมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568
ปี 2568 เป็นปีที่ประเทศไทยเผชิญกับปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคทั้งภายในและภายนอกที่ซับซ้อนขึ้น อัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตาแม้จะเริ่มทรงตัว แต่อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกหรือผู้ที่ต้องการสินเชื่อบ้าน ภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงยังคงเป็นตัวฉุดรั้งที่สำคัญ ทำให้สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้พัฒนาอสังหาฯ ในการปิดการขาย
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตในช่วงก่อนหน้า รวมถึงนโยบายภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อาทิ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการเร่งผลักดันการท่องเที่ยวให้กลับมาเป็นเครื่องยนต์หลัก ก็เป็นปัจจัยบวกที่ช่วยประคองตลาด อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวนำมาซึ่งความต้องการในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนโดยเฉพาะในทำเลทองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และกลุ่มชาวต่างชาติที่กลับมามีความเชื่อมั่นในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นช่องทางสำคัญในการเติมเม็ดเงินเข้าสู่ตลาด ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการปล่อยเช่า หรือเพื่อการเก็งกำไรระยะกลาง-ยาว กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่ม คอนโดมิเนียมหรู ในเมืองใหญ่
พลิกโฉมการประเมินผลงาน: ไม่ใช่แค่รายได้ แต่คือความยั่งยืน
จากบทเรียนในปี 2566 ที่ภาพรวมรายได้ของ 41 บริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ลดลงเล็กน้อยที่ -1.2% (จาก 376,141 ล้านบาท เหลือ 371,560 ล้านบาท) และที่น่าตกใจคือกว่า 25 บริษัทจาก 41 บริษัทมีรายได้ลดลง แสดงให้เห็นว่าการพึ่งพารายได้รวมเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่ตัวชี้วัดที่แม่นยำที่สุดอีกต่อไป ในปี 2568 ผู้ประกอบการต้องมุ่งเน้นที่ความสามารถในการสร้างรายได้จากการขายที่แท้จริง และที่สำคัญกว่านั้นคือ “กำไรสุทธิ” ที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
รายได้จากการขาย: หัวใจของการดำเนินธุรกิจ
หากย้อนดูปี 2566 รายได้จากการขายรวมของทั้ง 41 บริษัทลดลงถึง -11% (จาก 299,979 ล้านบาท เหลือ 268,460 ล้านบาท) โดยมีถึง 30 บริษัทที่รายได้จากการขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ไรมอน แลนด์ ที่รายได้จากการขายตกลงถึง -78% และ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่ลดลง -38% แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง เอพี (ไทยแลนด์) ที่ครองแชมป์รายได้จากการขายสูงสุดในปีนั้น ก็ยังคงเห็นการลดลงเล็กน้อยที่ -2% นี่คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าการแข่งขันในตลาดอสังหาฯ ดุเดือดขึ้นมาก และผู้บริโภคมีความลังเลในการตัดสินใจซื้อมากขึ้น
สำหรับปี 2568 บริษัทที่ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำด้านรายได้จากการขายได้ คือบริษัทที่เข้าใจความต้องการของตลาดอย่างลึกซึ้ง และมีกลยุทธ์การตลาดและการขายที่แข็งแกร่ง เอพี (ไทยแลนด์) ยังคงเป็นผู้เล่นหลักที่โดดเด่น ด้วยการนำเสนอโครงการที่ตอบโจทย์ความหลากหลายของกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียมในทำเลศักยภาพ พร้อมการลงทุนในเทคโนโลยีการขายและบริการหลังการขายที่เหนือกว่า การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการซื้อขาย ถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุคนี้ การวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงลึก และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง ถือเป็นกลยุทธ์อสังหาริมทรัพย์ที่ไม่อาจมองข้ามได้
แสนสิริ เองก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเติบโตของรายได้จากการขายอย่างน่าประทับใจ ด้วยการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและความหลากหลายของโครงการ ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ศุภาลัย ยังคงรักษามาตรฐานการพัฒนาโครงการคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ ควบคู่ไปกับการขยายไปยังจังหวัดภูมิภาค ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
กำไรสุทธิ: มาตรวัดผู้ชนะที่แท้จริง
สุดท้ายแล้ว ตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดคือ “กำไรสุทธิ” ที่สะท้อนถึงสุขภาพทางการเงินที่แท้จริงของบริษัท ในปี 2566 ทั้ง 41 บริษัททำกำไรสุทธิรวมกัน 44,165 ล้านบาท ลดลง -11% จากปี 2565 โดยมีถึง 12 บริษัทที่ขาดทุน และกว่า 20 บริษัทมีกำไรลดลง นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงความท้าทายในการทำกำไรภายใต้สถานการณ์ต้นทุนที่สูงขึ้นและการแข่งขันที่รุนแรง
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ยังคงเป็นแชมป์ด้านกำไรสุทธิในปี 2566 ด้วยตัวเลข 7,495 ล้านบาท แม้รายได้โดยรวมจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากความสามารถในการบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการรับรู้กำไรจากการขายโรงแรมเข้ากองทุน การมีกระแสเงินสดที่ดีและการกระจายความเสี่ยงไปในธุรกิจอื่น ๆ ที่สร้างรายได้ประจำ (recurring income) จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีความมั่นคงในระยะยาว
ศุภาลัย และ เอพี (ไทยแลนด์) ก็ยังคงติดอันดับผู้ทำกำไรสูงสุด สะท้อนถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีเยี่ยม และความสามารถในการปิดการขายที่รวดเร็ว ส่วน แสนสิริ ก็แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของกำไรอย่างก้าวกระโดดถึง 42% ในปี 2566 แสดงให้เห็นถึงการปรับกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ และการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ แม้กำไรจะลดลง แต่ยังคงรักษาระดับอยู่ในกลุ่มผู้นำได้ ด้วยการขยายพอร์ตโฟลิโอไปยังธุรกิจบริการและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น ในขณะที่ เซ็นทรัลพัฒนา คือผู้เล่นที่น่าจับตาที่สุด ด้วยการพลิกบทบาทจากผู้พัฒนาศูนย์การค้ามาสู่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายอย่างจริงจัง และเริ่มเก็บเกี่ยวผลกำไรอย่างก้าวกระโดดถึง 103% ในปี 2566 รายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นผลมาจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-use) ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตครบวงจร ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของปี 2568
เทรนด์สำคัญที่หล่อหลอมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568 และอนาคต
อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน (Sustainable Real Estate) และ ESG Investment: นี่ไม่ใช่แค่คำศัพท์ทางการตลาดอีกต่อไป แต่เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของนักลงทุนและผู้บริโภค การพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และมีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม (Environmental, Social, Governance: ESG) จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบอาคารสีเขียว (Green Building) การใช้พลังงานทางเลือก หรือการบริหารจัดการขยะ จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนักลงทุนกลุ่ม ESG Investment อสังหาริมทรัพย์ และลูกค้าที่ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม
PropTech และ Digital Transformation อสังหาริมทรัพย์: เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทุกมิติ ตั้งแต่การออกแบบ (BIM), การก่อสร้าง (Modular Construction), การตลาดและการขาย (VR/AR Showroom, AI-powered marketing), ไปจนถึงการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Smart Facility Management) เทคโนโลยีสมาร์ทโฮม (Smart Home Technology) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บ้านหรูอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นฟีเจอร์มาตรฐานในโครงการระดับกลาง การนำ AI มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดเพื่อหาทำเลทอง และการตัดสินใจลงทุนในที่ดินเพื่อการพัฒนาอย่างแม่นยำ จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนได้
การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ (Demographic Shifts): สังคมสูงวัยของไทยส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุ (Senior Living) และโครงการที่รองรับการดูแลสุขภาพ (Wellness Residences) มีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ขนาดครัวเรือนที่เล็กลงและความต้องการพื้นที่ส่วนตัวที่ยืดหยุ่นยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการออกแบบโครงการคอนโดมิเนียมและที่อยู่อาศัยแนวราบ
การกลับมาของกำลังซื้อต่างชาติและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์: หลังจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ประเทศไทยกลับมาเป็นเป้าหมายสำคัญของนักลงทุนและผู้ซื้อชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ตะวันออกกลาง และยุโรป นโยบายส่งเสริมการถือครองอสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวต่างชาติ รวมถึงวีซ่าประเภทใหม่ๆ เช่น Long-Term Resident (LTR) Visa จะช่วยกระตุ้นตลาด อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในกลุ่ม คอนโดมิเนียมหรู และวิลล่าในทำเลศักยภาพ
Urbanization และ Infrastructure Megaprojects: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน และถนนหนทาง ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนการขยายตัวของเมืองและสร้าง ทำเลทอง ใหม่ๆ โครงการที่ตั้งอยู่ใกล้สถานีขนส่งสาธารณะ หรือบริเวณที่มีศักยภาพในการพัฒนาเมือง จะยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง และเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อของลูกค้า
ตลาด Niche ที่เติบโต: นอกจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยแล้ว ตลาดเฉพาะทางอย่างคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า (Logistics & Industrial), ศูนย์ข้อมูล (Data Centers), และอสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ (Medical Tourism Properties) ก็กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตอบรับกับการขยายตัวของ E-commerce และอุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์
ความท้าทายและโอกาสสำหรับผู้พัฒนาและนักลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ 2568
แม้จะมีสัญญาณบวก แต่ความท้าทายก็ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือน ต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การขาดแคลนแรงงาน และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก แต่ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ
สำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์: กลยุทธ์ที่สำคัญคือการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ ไม่พึ่งพาเพียงที่อยู่อาศัย แต่ขยายไปยังธุรกิจอื่นที่สร้างรายได้ประจำ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ การสร้างความแตกต่างในตัวผลิตภัณฑ์ การมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่า และการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง จะเป็นสิ่งสำคัญในการดึงดูดลูกค้าและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การวางแผน สินเชื่อบ้าน ที่ยืดหยุ่นร่วมกับธนาคารก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
สำหรับนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์: การศึกษาแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์อย่างละเอียด และการเลือก ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในทำเลที่มีศักยภาพสูง มีการคมนาคมสะดวก หรือใกล้กับโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี การพิจารณาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในรูปแบบ Recurring Income เช่น อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ หรือโครงการ Mixed-use จะช่วยสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง การติดตาม ตลาดบ้านมือสอง ก็อาจจะให้โอกาสที่ดีในการลงทุนในราคาที่น่าสนใจ
บทสรุปและก้าวต่อไปในปี 2568
ปี 2568 จึงเป็นปีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง ผู้ประกอบการที่เข้าใจถึงพลวัตของตลาด กล้าที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ลงทุนในเทคโนโลยี และให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน จะเป็นผู้ที่สามารถคว้าโอกาสและก้าวขึ้นเป็นผู้นำตัวจริงในวงการนี้ได้
จากประสบการณ์กว่าทศวรรษในภาค อสังหาริมทรัพย์ไทย ผมเชื่อมั่นว่าผู้ที่มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นจะสามารถนำพาธุรกิจให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง แม้ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความท้าทาย การเตรียมพร้อมรับมือกับ แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ ที่เปลี่ยนแปลงไป และการลงทุนอย่างชาญฉลาด จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
หากคุณเป็นหนึ่งในนักลงทุน ผู้พัฒนา หรือกำลังมองหาโอกาสในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ การมีข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคือสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม อย่ารอช้าที่จะสำรวจศักยภาพของตลาด และวางแผนกลยุทธ์ของคุณวันนี้ เพื่อคว้าชัยชนะในโลกของอสังหาริมทรัพย์ปี 2568!

