แม่น้องแพดเม่ สงสาร เจนนี่ ขออย่าต่อว่า บอกน้องโทรมาเพราะอยากช่วย แม้จะไลฟ์สดตอนคุย แต่ไม่ได้เอารูปน้องแพดเม่ไปลง ส่วนเคสอื่นที่นำรูปน้องแพ็ดเม่ไปลงแล้วขอเปิดรับบริจาค ไม่เป็นความจริง เตือนระวังมิจฉาชีพ
หลัง เจนนี่ รัชนก หรือ เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ไสฟ์สดพูดคุยกับ แม่น้องแพดเม่ ที่สูญเสียลูกสาว วัย 4 ขวบ จากเหตุพลัดตกเรือจนเสียชีวิต โดยเสนอค่าทำศพ 50,000 บาท แต่ครอบครัวปฏิเสธความช่วยเหลือดังกล่าวอย่างสุภาพ โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้ลำบาก และขอให้เจนนี่นำเงินจำนวนนี้ไปมอบให้กับครอบครัวผู้สูญเสียคนอื่นๆ แทน
ต่อมาเกิดดราม่าตามมา เนื่องจากมองว่าการไลฟ์พูดคุยกับครอบครัวผู้สูญเสียเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม จนทำให้เธอถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก

ทำให้ เจนนี่ ต้องออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก รัชนก สุวรรณเกตุ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมขอโทษและขอความเมตตา บางครั้งการช่วยเหลือทุกอย่างที่เกิดขึ้น เจนนี่ตัดสินใจแบบรวดเร็วในทุกๆเคส มันมีบางครั้งที่ตัดสินใจพลาด โดยติดต่อตั้งใจจะโอนเงินช่วย แม่น้องแพดเม่ แต่แม่ขอไม่รับเงิน-เผยเหตุผลจุกหัวใจบ้านน้องลำบากเลยรีบช่วยโดยไม่เช็คให้ดี เพราะเจนนี่เป็นคนที่เสียใจกับเรื่องแบบนี้มากๆ
ล่าสุด แม่น้องแพดเม่ โพสต์ข้อความว่า “ว่าจะไม่โพสต์เรื่องข่าวโซเชียลแล้วค่ะ แต่ขอโพสต์สุดท้าย เพราะสงสารน้องเจนนี่ และอยากขอให้เครดิตกับคนที่ดูแลพวกเราจริงๆ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หมอป๊อป จิตแพทย์ของบ้านเรา และครูเป้ นักจิตวิทยาเด็ก คลินิกเด็ก โตไปใจสุข หมอแคทลียา นักจิตวิทยาที่ดูแลกันมาตลอด เป็นทีมที่อยู่เคียงข้างและดูแลจิตใจพวกเราจริงๆ
เมื่อคืนทั้งสองท่านสละเวลามาหา และอยู่กับเราจนดึกมาก เพื่อช่วยฮีลใจ ขอบคุณจากใจเลยนะคะ และขอบคุณ ครูนิ่ม Nim Palita ผู้บริหาร รร.น้องแพดเม่ ที่ช่วยประสานทุกอย่างให้ด้วยค่ะ
ส่วนกรณี ครูต้นไม้ ตามข่าวที่ระบุว่า รับเคสเราน่าจะมีข้อมูลคลาดเคลื่อนค่ะ อาจเป็นเพราะว่าทางคุณครูพยายามติดต่อมาช่วย แต่เรายังไม่ได้มีโอกาสคุยกัน อย่างไรก็ดีขอบคุณมากๆ ที่ช่วยแจ้งให้ทุกคนทราบเรื่องการหยุดทำคอนเทนต์เกี่ยวกับเรา ขอบคุณมากๆค่ะ
ปลดล็อกศักยภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568: ถอดรหัสผู้ชนะตัวจริงในยุคแห่งการปรับตัว
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการพลิกผันของตลาดมาแล้วหลายครั้งหลายครา และปี 2568 นี้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่เปี่ยมไปด้วยความท้าทายและโอกาสอันซับซ้อน ซึ่งต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและการปรับตัวอย่างรวดเร็วจากผู้ประกอบการและนักลงทุนทุกคน เราได้ผ่านพ้นปี 2566 และ 2567 ที่เปรียบเสมือนบททดสอบความแข็งแกร่งมาแล้ว ตลาดที่เคยดูเหมือนจะ “Take Off” หลังวิกฤต กลับต้องเผชิญกับปัจจัยลบที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแรงลง ผลกระทบเหล่านี้สะท้อนชัดเจนจากผลประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่ง Property Mentor ได้รวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดจาก 41 บริษัทชั้นนำ เพื่อประเมินสถานการณ์และชี้ให้เห็นถึงผู้เล่นที่สามารถก้าวผ่านพายุลูกนี้ไปได้อย่างสง่างาม และวางรากฐานสู่การเติบโตในปี 2568
การวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 ไม่ใช่เพียงการมองย้อนไปที่ตัวเลขในอดีต แต่คือการอ่านทิศทางลมในปัจจุบัน ทำความเข้าใจกลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว และคาดการณ์ถึงปัจจัยขับเคลื่อนใหม่ๆ ที่จะกำหนดภูมิทัศน์ของธุรกิจนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เทคโนโลยี นวัตกรรม และความยั่งยืน ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับทุกการพัฒนา การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จึงต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ที่เฉียบคมยิ่งขึ้นกว่าที่เคย
ภาพรวมมหภาค: แรงกระเพื่อมเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศที่กำหนดทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568
ปี 2568 เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในบริบทของประเทศไทย การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปลายปี 2566 และคาดว่าจะยังคงเป็นตัวเร่งหลักในปี 2568 อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แม้จะเริ่มคลี่คลายลงบ้าง แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ยังคงรักษาไว้ในระดับที่ค่อนข้างสูง เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคยังคงเป็นภาระหนัก
กำลังซื้อภายในประเทศยังคงเป็นปัจจัยท้าทายหลักสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มผู้บริโภครายได้ปานกลางถึงน้อยยังคงเผชิญกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้การเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นไปได้ยากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับกลางถึงล่างยังคงซบเซา และผู้ประกอบการต้องเร่งระบายสต็อกคงค้าง ในขณะเดียวกัน การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยียังคงเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่จะสร้างอุปสงค์ใหม่ๆ ทั้งสำหรับที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์และที่พักอาศัยสำหรับผู้บริหารและแรงงานฝีมือ
นโยบายของภาครัฐก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด ในปี 2568 นี้ เราน่าจะได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้าไปที่การลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มกำลังซื้อ การส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ด้านคมนาคมขนส่งยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าและถนนสายหลัก ถือเป็นโอกาสทองสำหรับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีวิสัยทัศน์ในการมองเห็นศักยภาพของพื้นที่เหล่านี้ล่วงหน้า การปรับกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ หรือการอำนวยความสะดวกในการซื้อขาย ก็เป็นอีกประเด็นที่นักลงทุนต่างจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะจะปลดล็อกเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจากต่างแดน เข้ามาสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้โดยตรง
แนวโน้มสำคัญที่กำหนดทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568: กลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดและการเติบโต
ในภาวะตลาดที่เต็มไปด้วยความผันผวน การทำความเข้าใจแนวโน้มสำคัญคือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ผมขอสรุปแนวโน้มที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ไว้ดังนี้:
ตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูและซูเปอร์ลักชูรียังคงแข็งแกร่ง (Luxury and Super Luxury Segment Resilience): แม้กำลังซื้อโดยรวมจะอ่อนแอ แต่กลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูงยังคงเป็นเซ็กเมนต์ที่แข็งแกร่งและไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ โครงการบ้านเดี่ยวราคาแพง คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ระดับพรีเมียมในทำเลทองใจกลางเมือง หรือวิลล่าหรูริมทะเล ยังคงเป็นที่ต้องการของทั้งนักลงทุนและผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มชาวต่างชาติที่มองหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาวหรือเป็นบ้านหลังที่สองในประเทศไทย การมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว งานดีไซน์ระดับโลก และบริการเหนือระดับ จะเป็นหัวใจสำคัญในการแข่งขันในตลาดนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าใจความต้องการที่ซับซ้อนของกลุ่มนี้จะยังคงเป็นผู้ชนะ
การเร่งระบายสต็อกและปรับพอร์ตสินค้า (Inventory Clearance and Portfolio Adjustment): ผู้ประกอบการจำนวนมากยังคงมีสต็อกสินค้าคงค้างจากการเปิดตัวโครงการในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับกลางถึงล่าง กลยุทธ์สำคัญในปี 2568 คือการเร่งระบายสต็อกเหล่านี้ผ่านแคมเปญการตลาดที่ดึงดูดใจ ข้อเสนอพิเศษ หรือการจับมือกับสถาบันการเงินเพื่ออำนวยความสะดวกในการปล่อยสินเชื่อ นอกจากนี้ การปรับพอร์ตโฟลิโอโดยลดการพัฒนาโครงการใหม่ที่ไม่จำเป็น และหันมาโฟกัสกับการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มมากขึ้น หรือโครงการที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้เร็ว จะเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ
การเติบโตของอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม (Commercial and Industrial Property Growth): ด้วยแรงหนุนจากการลงทุนจากต่างประเทศและนโยบายส่งเสริมการลงทุนใน EEC รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น อาคารสำนักงานให้เช่าคลาส A ในทำเลศูนย์กลางธุรกิจ โรงแรมและรีสอร์ตที่ปรับตัวเข้ากับเทรนด์การท่องเที่ยวแบบใหม่ และโกดังคลังสินค้าให้เช่า หรือโรงงานอัจฉริยะในนิคมอุตสาหกรรม จะยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ผู้ประกอบการที่มีที่ดินอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพเหล่านี้ จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล
ความยั่งยืนและเทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญ (Sustainability and Technology Integration): ผู้บริโภคและนักลงทุนยุคใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มากขึ้น โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และมีพื้นที่สีเขียว จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกมิติ ตั้งแต่การออกแบบ (BIM), การก่อสร้าง (Modular Construction), การตลาด (Virtual Tours, AI-driven personalizations) ไปจนถึงการบริหารจัดการอาคาร (Smart Home, IoT) จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
การขยายตัวสู่หัวเมืองรองและทำเลศักยภาพใหม่ (Expansion into Secondary Cities and Emerging Hotspots): การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่ง ทั้งรถไฟความเร็วสูงและถนนสายหลัก ช่วยเชื่อมโยงหัวเมืองรองเข้ากับเมืองใหญ่ได้สะดวกขึ้น ส่งผลให้เกิดการกระจายตัวของความเจริญและโอกาสในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในทำเลศักยภาพใหม่ๆ ที่มีราคาที่ดินยังไม่สูงมากนัก และมีต้นทุนการพัฒนาที่น่าสนใจ
ถอดรหัสความยืดหยุ่นของผู้ประกอบการ: บทเรียนจากปี 2566-2567 และมุมมองสำหรับปี 2568
ย้อนกลับไปในปี 2566 และ 2567 ที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ผลประกอบการของ 41 บริษัทจดทะเบียนสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ โดยรวมแล้วรายได้ลดลงเล็กน้อยที่ -1.2% จากปี 2565 แต่เมื่อเจาะลึกถึงรายได้จากการขาย พบว่าลดลงถึง -11% และมีบริษัทที่รายได้จากการขายลดลงถึง 30 จาก 41 บริษัท บ่งชี้ว่าตลาดกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างแท้จริง กำไรสุทธิรวมของทั้ง 41 บริษัทก็ลดลง -11% และมีบริษัทถึง 12 แห่งที่ประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าความสามารถในการปรับตัวและกลยุทธ์ที่แตกต่าง คือตัวแปรสำคัญที่แยก “ผู้รอด” ออกจาก “ผู้ประสบปัญหา”
จากการวิเคราะห์เชิงลึก ผมสามารถแบ่งกลุ่มผู้ประกอบการตามแนวโน้มและศักยภาพในปี 2568 ได้ดังนี้:
ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมเชิงรุก (The Aggressive Innovators):
กลุ่มนี้คือบริษัทที่แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและศักยภาพในการเติบโตอย่างน่าประทับใจ แม้ในภาวะตลาดที่ยากลำบาก พวกเขาไม่ได้รอให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ลงมือปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็วและกล้าหาญ อาทิ แสนสิริ (Sansiri) ซึ่งเป็นแชมป์รายได้รวมในปี 2566 และมีกำไรสุทธิเติบโตถึง 42% แม้รายได้จากการขายจะไม่ได้โดดเด่นเท่า แต่การเติบโตของรายได้รวมและกำไรแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและการสร้างรายได้จากช่องทางอื่นๆ นอกจากนี้ กลยุทธ์การแตกไลน์สินค้าให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ การปรับตัวเข้าหาผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว และการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อการขายและบริการ ทำให้แสนสิริเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่น่าจับตาในปี 2568
อีกบริษัทที่โดดเด่นคือ เอพี (ไทยแลนด์) (AP (Thailand)) ซึ่งเป็นผู้นำด้านรายได้จากการขายในปี 2566 ด้วยยอดขายสูงถึง 36,927 ล้านบาท แม้จะลดลงเล็กน้อย -2% แต่ความสามารถในการรักษายอดขายในระดับสูง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ กลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองได้อย่างลงตัว และการบริหารจัดการการขายที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อน AP ในปี 2568 นอกจากนี้ เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC Asset Corporation) ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีรายได้จากการขายเติบโตถึง 13% และมีกำไรสุทธิที่แข็งแกร่ง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเจาะตลาดบนและตลาดกลางบนได้อย่างแม่นยำ ด้วยโครงการที่มีดีไซน์โดดเด่นและคุณภาพสูง
สำหรับกลุ่มนี้ในปี 2568 พวกเขามีแนวโน้มที่จะขยายพอร์ตโฟลิโอสู่โครงการอสังหาริมทรัพย์หรู การพัฒนาโครงการ Mixed-Use ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพื้นที่ และการนำเทคโนโลยี AI และ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์ตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้ตรงจุดและรวดเร็วกว่าคู่แข่ง
ยักษ์ใหญ่ผู้มั่นคงและปรับตัว (The Steadfast Giants):
กลุ่มนี้คือบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีแลนด์แบงก์ขนาดใหญ่ และมีประสบการณ์ยาวนานในตลาด พวกเขาอาจไม่เติบโตหวือหวา แต่มีความมั่นคงสูงและปรับตัวอย่างชาญฉลาด อาทิ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (Land & Houses) แม้รายได้รวมและรายได้จากการขายจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2566 (-18% และ -38% ตามลำดับ) แต่ยังคงยืนหนึ่งด้านกำไรสุทธิสูงสุดถึง 7,495 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การขายโรงแรม 2 แห่งเข้ากองทุน สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การบริหารการเงินที่รอบคอบ การสร้างมูลค่าจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ และการสร้างกระแสเงินสดผ่านช่องทางอื่นๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงสถานะของบริษัทในภาวะที่ยอดขายไม่เติบโตตามเป้า
ศุภาลัย (Supalai) ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ยังคงรักษาอันดับความแข็งแกร่งในตลาดไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยรายได้จากการขายที่ยังคงติดอยู่ในอันดับ Top 3 และกำไรสุทธิที่โดดเด่น ศุภาลัยมักจะมีกลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่หลากหลาย ทั้งแนวราบและแนวสูง ในทำเลศักยภาพทั่วประเทศ และมีนโยบายการเงินที่รัดกุม ซึ่งทำให้พวกเขายืนหยัดได้ในระยะยาว ในปี 2568 กลุ่มนี้จะเน้นการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มงวด การพัฒนาโครงการตามกำลังซื้อที่แท้จริง และการสร้างความแตกต่างด้านคุณภาพและบริการหลังการขาย เพื่อรักษาฐานลูกค้าที่ภักดี
ผู้บุกเบิกตลาดเฉพาะทาง (The Niche Navigators):
บริษัทในกลุ่มนี้อาจไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากลุ่มแรก แต่สามารถสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นในตลาดเฉพาะทาง โดยการมองเห็นโอกาสในเซ็กเมนต์ที่คู่แข่งมองข้าม หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์ที่แตกต่างออกไป ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เซ็นทรัลพัฒนา (Central Pattana) ที่เริ่มเก็บเกี่ยวรายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายอย่างจริงจังในปี 2566 โดยมีรายได้จากการขายเติบโตถึง 103% และมีกำไรสุทธิที่แข็งแกร่ง สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการใช้จุดแข็งด้านการเป็นผู้นำศูนย์การค้า มาต่อยอดสู่การพัฒนาโครงการ Mixed-Use ที่มีทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม และสำนักงาน ซึ่งเป็นการสร้าง Eco-system ที่สมบูรณ์แบบและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบ One-Stop Living กลยุทธ์นี้จะยังคงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของ CPN ในปี 2568 รวมถึงการขยายไปสู่โครงการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการบริการมากขึ้น
ผู้ที่กำลังเผชิญความท้าทายและต้องปรับตัวเร่งด่วน (The Challengers and Urgent Adaptors):
นี่คือกลุ่มบริษัทที่ประสบปัญหาอย่างหนักในปี 2566 และ 2567 โดยมีรายได้และกำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือบางแห่งถึงขั้นขาดทุนต่อเนื่องหลายปี เช่น ไรมอน แลนด์ (Raimon Land) ที่รายได้จากการขายลดลงถึง -78% หรือ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (L.P.N. Development) ที่รายได้จากการขายลดลงเกือบ -40% รวมถึง อีสเทิร์น สตาร์ เรียล เอสเตท (Eastern Star Real Estate) และ คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ (Country Group Development) กลุ่มนี้ต้องเผชิญกับหนี้สินที่สูงขึ้น สต็อกสินค้าคงค้างจำนวนมาก และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลง
สำหรับปี 2568 บริษัทในกลุ่มนี้จำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรอย่างเร่งด่วน ทบทวนกลยุทธ์การพัฒนาโครงการ ลดขนาดการลงทุน ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และอาจจำเป็นต้องมีการขายสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดภาระหนี้สิน การแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจ หรือการรวมกิจการ อาจเป็นทางออกที่จำเป็นเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว การมุ่งเน้นตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง หรือโครงการที่มีความเสี่ยงต่ำ เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง
ปัจจัยสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในปี 2568 และอนาคต
จากบทเรียนในอดีตและแนวโน้มสำหรับปี 2568 ผู้ประกอบการที่ต้องการเป็น “ผู้ชนะตัวจริง” จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้:
ความยืดหยุ่นทางการเงิน (Financial Prudence): การมีสภาพคล่องที่ดี การบริหารจัดการหนี้สินอย่างรอบคอบ และการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรับมือกับความผันผวนของตลาด
ความคล่องตัวในการปรับตัวของตลาด (Market Agility): ความสามารถในการอ่านทิศทางตลาด ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และราคาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
การให้ความสำคัญกับลูกค้า (Customer-Centricity): การทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบไปจนถึงบริการหลังการขาย เพื่อสร้างความภักดีและเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์
การยอมรับเทคโนโลยี (Technology Adoption): การนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกขั้นตอนของกระบวนการพัฒนาและบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
ความมุ่งมั่นในความยั่งยืน (Commitment to Sustainability): การพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่เป็นการสร้างคุณค่าในระยะยาวให้กับองค์กรและสังคม
พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partnerships): การจับมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทั้งการเงิน การตลาด เทคโนโลยี หรือการพัฒนาโครงการ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถและลดความเสี่ยง
สรุปและคำเชิญชวน
ปี 2568 ยังคงเป็นปีที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน แต่ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอสำหรับผู้ที่พร้อมปรับตัว มีวิสัยทัศน์ และกล้าที่จะแตกต่าง ผู้ประกอบการที่สามารถถอดรหัสความต้องการของตลาดได้อย่างแม่นยำ บริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำนวัตกรรมมาใช้ในการสร้างสรรค์คุณค่า จะเป็นผู้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในยุคสมัยใหม่นี้ได้อย่างแท้จริง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การเลือกทำเลหรือราคา แต่คือการเลือกลงทุนกับ “วิสัยทัศน์” และ “ความสามารถในการปรับตัว” ของผู้พัฒนา
สำหรับนักลงทุน ผู้พัฒนา หรือผู้ที่กำลังมองหาโอกาสในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยุค 2025 ผมขอเชิญชวนให้ท่านศึกษาข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้อย่างละเอียด และใช้เป็นเข็มทิศในการตัดสินใจ เพื่อให้ทุกก้าวของท่านมั่นคงและนำไปสู่ความสำเร็จอันยั่งยืน มาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งไปด้วยกัน

