จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ในหลายพื้นที่ที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล จะมีระดับน้ำเริ่มลดลงบ้างแล้ว และทำให้เกิดภาพสุดหดหู่ใจ จากความสูญเสีย ไม่ว่าจะข้าวของ บ้าน รถ หรือการสูญเสียคนที่รักไปตลอดกาล ท่ามกลางความเศร้าโศกของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งหนึ่งในนักแสดงที่เคยผ่านจุดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 อย่าง เกรซ กาญจน์เกล้า ได้ออกมาระบายความในใจถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ พร้อมคำถามที่ชวนคิดหนัก

โดย เกรซ โพสต์ความในใจหลังน้ำลด ระบุว่า “พอน้ำเริ่มลด คำถามที่หนักอึ้งคือ หลังจากนี้พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป…ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยทุกคนที่ต้องสูญเสีย คนที่รัก สิ่งที่มีและสร้างมา เราเข้าใจมันดีน้ำท่วมหนักปี 54 ที่บ้านจม 3 เมตร เคยเริ่มใหม่สุดใจมาแล้วเช่นกัน….วันนี้มันอาจจะหนักเกินใจจะรับไหวนะคะ แต่ขอให้ทุกคนเชื่อมั่น ว่ามันจะมีวันที่ ทุกอย่างกลับมาสวยงามอีกครั้งค่ะ ขอร้องรัฐบาลแก้มือ ด้วยการเยียวยาพี่น้องชาวหาดใหญ่ สตูล และทุกจังหวัดอย่างสุดความสามารถที่สุดด้วยเถิดค่ะ ขอให้ภาษีทุกบาทของเราชาวไทยทุกคน ได้ช่วยให้พี่น้องชาวใต้ เริ่มต้นใหม่อย่างสวยงามอีกครั้งด้วยนะคะ เมื่อเวลาผ่านไปขอพวกเราอย่าลืมพวกเค้านะคะ 🙏🏻🇹🇭 รวมถึงขอสดุดีจิตอาสาทุกท่าน ผู้บริจาค หน่วยงานองค์กร ภาคเอกชน ผู้ประกอบการต่าง ๆ ส่งทั้งแรงกายแรงใจแรงทรัพย์ ที่ทำให้รู้เลยว่าเราโชคดีจริง ๆ ที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย อยู่ในประเทศที่ผู้คนมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน”.-ไนน์เอ็นเตอร์เทน
เจาะลึกผลประกอบการอสังหาฯ ไทย ปี 2567: ใครคือผู้พลิกเกม? มองไปข้างหน้าสู่ปี 2568 ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนไป
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงผันผวนของตลาดมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ปี 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่น่าจับตา ด้วยบริบทเศรษฐกิจมหภาคและปัจจัยภายในประเทศที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญ ท่ามกลางกระแสความท้าทาย บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน เพื่อประคองตัวและคว้าโอกาสที่ซ่อนอยู่ในภาวะตลาดที่ยังคงเปราะบาง การวิเคราะห์ผลประกอบการประจำปี 2567 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่ใช่เพียงการรายงานตัวเลข แต่เป็นการถอดบทเรียนเชิงลึกถึงความยืดหยุ่น ศักยภาพในการปรับตัว และวิสัยทัศน์ของผู้เล่นแต่ละราย ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจ แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ 2568 และทิศทางการลงทุนในอนาคต
ภูมิทัศน์ตลาดอสังหาฯ ปี 2567: ความท้าทายที่หลากหลายและการปรับตัวเชิงกลยุทธ์
ปี 2567 เริ่มต้นขึ้นด้วยความหวังจากแรงส่งเล็กน้อยในช่วงปลายปีก่อนหน้า แต่กลับต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับน่าเป็นห่วง และกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ในบางกลุ่ม ขณะเดียวกัน ต้นทุนการพัฒนาที่ดินและค่าก่อสร้างก็ยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความกังวล การแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัยยังคงรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมและทาวน์โฮมระดับกลางที่เผชิญกับภาวะอุปทานส่วนเกินในบางพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปเสียหมด ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรีและซูเปอร์ลักซ์ชัวรีกลับแสดงความแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง โดยได้แรงหนุนจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งจากในและต่างประเทศที่มองหา อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน และสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าได้ในระยะยาว นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในแนวเส้นทาง ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการ พัฒนาที่ดิน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปสู่โครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) ที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่หลายบริษัทให้ความสำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากการขายเพียงอย่างเดียว
จากการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผลประกอบการของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำกว่า 40 ราย ผมพบว่าปี 2567 เป็นปีแห่งการคัดสรร ผู้เล่นที่ปรับตัวเร็ว มีวินัยทางการเงิน และมองเห็นโอกาสท่ามกลางวิกฤตเท่านั้น จึงจะสามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำไว้ได้ โดยมีบริษัทจำนวนไม่น้อยที่ต้องเผชิญกับภาวะรายได้รวมที่ลดลง สะท้อนถึงการชะลอตัวของตลาดและอุปสรรคในการส่งมอบโครงการ
ภาพรวมรายได้รวม: แรงเสียดทานยังคงอยู่
หากมองในภาพรวม บริษัทอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนสามารถทำรายได้รวมกันกว่า 3.5 แสนล้านบาทในปี 2567 ซึ่งปรับตัวลดลงเล็กน้อยประมาณ 3-5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ตลาดจะยังไม่ถึงขั้นฟื้นตัวเต็มที่ แต่ก็มีการประคับประคองสถานการณ์ไว้ได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การเจาะลึกเข้าไปในรายละเอียดจะพบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในผลประกอบการของแต่ละบริษัท
บริษัทที่มีรายได้รวมติดลบอย่างมีนัยยะสำคัญ อาทิ กลุ่มผู้พัฒนาที่เคยพึ่งพิงตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางเป็นหลัก ซึ่งได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวและเงื่อนไขสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น นอกจากนี้ บริษัทที่เน้นโครงการระดับล่างถึงกลางยังคงเผชิญกับปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อที่สูง ทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ทำได้ยากลำบาก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ที่รับรู้
ในทางกลับกัน บริษัทที่สามารถขยายฐานรายได้ได้ดี มักจะเป็นกลุ่มที่มีพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย ทั้งแนวราบ แนวสูง และอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ หรือกลุ่มที่เน้นตลาดเฉพาะ (Niche Market) ที่มีความต้องการสูง เช่น คอนโดมิเนียมหรู ในทำเลศักยภาพ หรือ บ้านเดี่ยวราคาแพง ที่ยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าระดับบน
แชมป์เปี้ยนรายได้รวมประจำปี 2567: การปรับตัวที่โดดเด่น
อันดับ 1 ในด้านรายได้รวมในปี 2567 ตกเป็นของ แสนสิริ ที่ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้ด้วยกลยุทธ์การเปิดตัวโครงการที่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์และเจาะตลาดต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยรายได้รวมที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
ตามมาด้วย เอพี (ไทยแลนด์) ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดกลางถึงบนได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของรายได้ อีกทั้งการบริหารจัดการพอร์ตสินค้าและทำเลที่ตั้งอย่างมีกลยุทธ์
และอันดับ 3 ได้แก่ ศุภาลัย ที่ยังคงรักษาเสถียรภาพในการดำเนินงานได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยการกระจายความเสี่ยงของโครงการและการเน้นย้ำถึงคุณภาพและราคาที่เหมาะสม ทำให้ยังคงเป็นที่เชื่อมั่นของผู้บริโภค
ส่วนบริษัทอื่นๆ ที่ติดอันดับ Top 10 ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับภาวะตลาด เช่น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่ยังคงมีศักยภาพในการสร้างรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและโรงแรม ขณะที่ พฤกษา โฮลดิ้ง ก็มุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพภายในและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในการพัฒนาโครงการ
รายได้จากการขาย: หัวใจสำคัญของธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ
หากจะวัดความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริง ต้องพิจารณาที่ “รายได้จากการขาย” หรือยอดโอนกรรมสิทธิ์ เพราะนี่คือสิ่งที่สะท้อนถึงการตอบรับของตลาดต่อผลิตภัณฑ์ของบริษัทโดยตรง ในปี 2567 ภาพรวมรายได้จากการขายของ 40 กว่าบริษัท ลดลงประมาณ 8-10% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าตลาดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง
บริษัทที่รายได้จากการขายลดลงอย่างมาก มักเป็นบริษัทที่ไม่มีสต็อกสินค้าพร้อมโอนที่หลากหลาย หรือโครงการที่เปิดขายไม่ตรงกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ปัญหาหลักยังคงวนเวียนอยู่กับการเข้าถึง สินเชื่อบ้าน ของผู้บริโภค ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการปิดการขาย
เอพี (ไทยแลนด์): แชมป์แห่งการขาย
เอพี (ไทยแลนด์) ผงาดขึ้นเป็นอันดับ 1 ในหมวดรายได้จากการขายในปี 2567 ตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญในการสร้างยอดขายและส่งมอบโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มโครงการแนวราบที่ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีปัจจัยกดดันมากมาย แต่การวางแผนการตลาดและการขายที่แม่นยำ ทำให้เอพีสามารถยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง
ตามมาด้วย แสนสิริ ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างยอดขายจากโครงการที่หลากหลาย ทั้งโครงการพร้อมอยู่และโครงการที่กำลังจะแล้วเสร็จ ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ทำให้ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด
ศุภาลัย ยังคงรักษาตำแหน่ง Top 3 ได้อย่างเหนียวแน่น สะท้อนถึงฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและความเชื่อมั่นในแบรนด์ ที่เน้นความคุ้มค่าและคุณภาพเป็นหลัก
ขณะที่ เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ก็ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะการบุกตลาดระดับพรีเมียมและลักซ์ชัวรี ทำให้รายได้จากการขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง และ พฤกษา โฮลดิ้ง ที่แม้จะเผชิญกับความท้าทาย แต่ก็ยังคงประคองยอดขายไว้ได้ด้วยการปรับกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การมาแรงของ เซ็นทรัลพัฒนา ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ก็เป็นสิ่งที่น่าจับตา จากเดิมที่เน้นรายได้จากศูนย์การค้าและโรงแรม มาวันนี้รายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยของ CPN เติบโตแบบก้าวกระโดด สะท้อนถึงการใช้จุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งและฐานลูกค้าของศูนย์การค้ามาต่อยอดได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ กลยุทธ์อสังหาฯ ที่ผสมผสานความหลากหลายเข้าด้วยกัน
กำไรสุทธิ: การวัดผลลัพธ์ที่แท้จริง
สุดท้ายแล้ว ตัวเลขที่สำคัญที่สุดในการสะท้อนถึงประสิทธิภาพและสุขภาพทางการเงินของบริษัท คือ “กำไรสุทธิ” ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการบริหารจัดการต้นทุน รายได้ และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในปี 2567 ภาพรวมกำไรสุทธิของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รวมกันลดลงประมาณ 10-12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีบริษัทจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับภาวะกำไรที่ลดลง หรือแม้กระทั่งขาดทุน สะท้อนถึงความผันผวนของตลาดและแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น
บริษัทที่สามารถรักษากำไรสุทธิไว้ได้ดี มักจะเป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการต้นทุนอย่างรัดกุม มีการใช้เทคโนโลยีและ นวัตกรรมอสังหาฯ เพื่อลดค่าใช้จ่าย และมีรายได้จากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่การขายเพียงอย่างเดียว เช่น ค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ หรือการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาฯ (กองทุนรวมอสังหาฯ) เพื่อสร้างสภาพคล่องและรับรู้กำไรพิเศษ
แลนด์แอนด์เฮ้าส์: แชมป์กำไรที่ยั่งยืน
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ยังคงครองบัลลังก์แชมป์กำไรสุทธิในปี 2567 ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งทางการเงินและการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ยอดเยี่ยม แม้ว่ารายได้จากการขายอาจจะไม่ได้สูงสุด แต่การมีรายได้ประจำจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและโรงแรม รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุน ทำให้ LH สามารถสร้างกำไรสุทธิได้อย่างน่าประทับใจ
ตามมาด้วย ศุภาลัย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและเน้นการพัฒนาโครงการที่ตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง
เอพี (ไทยแลนด์) ก็ยังคงรักษาตำแหน่ง Top 3 ในด้านกำไรสุทธิ ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่ยั่งยืนทั้งในด้านรายได้และการทำกำไร ที่สำคัญคือ การกระจายพอร์ตสินค้าและทำเลที่ตั้งอย่างชาญฉลาด
นอกจากนี้ แสนสิริ ก็ทำผลงานด้านกำไรสุทธิได้อย่างโดดเด่น ด้วยกลยุทธ์การขายและโอนที่รวดเร็ว รวมถึงการบริหารจัดการภาระหนี้อย่างมีวินัย ในขณะที่ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ แม้จะเผชิญกับความท้าทายในด้านกำไรสุทธิ แต่ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างสรรค์โครงการที่แตกต่างและมีมูลค่าเพิ่ม
ปัจจัยแห่งความสำเร็จในอนาคต: ก้าวสู่ปี 2568
ปี 2568 จะยังคงเป็นปีที่ท้าทาย แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้เล่นที่มีวิสัยทัศน์และการปรับตัวที่เหนือกว่า ผมมองเห็นเทรนด์สำคัญที่จะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จดังนี้:
การบริหารจัดการหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อ: แม้รัฐบาลจะพยายามออกมาตรการกระตุ้น แต่ปัญหาหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ บริษัทต้องพัฒนาโครงการที่เข้าถึงได้และตอบโจทย์ความต้องการจริงในแต่ละกลุ่มราคา
การปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation): การนำ PropTech (Property Technology) มาใช้ตั้งแต่กระบวนการออกแบบ การก่อสร้าง การตลาด ไปจนถึงการบริหารจัดการทรัพย์สิน จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นหนึ่งใน โอกาสลงทุนอสังหาฯ ที่สำคัญ
ความยั่งยืนและ ESG (Environmental, Social, Governance): ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับ อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน มากขึ้น การพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานทางเลือก และการให้ความสำคัญกับชุมชน จะไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็นมาตรฐานใหม่ที่จำเป็น
การกระจายความเสี่ยงและการสร้างรายได้ประจำ: การลดการพึ่งพารายได้จากการขายเพียงอย่างเดียว และหันมาพัฒนาโครงการที่สร้างรายได้ประจำ เช่น โรงแรม ออฟฟิศให้เช่า ศูนย์การค้า หรือแม้แต่พื้นที่ Co-working Space จะช่วยสร้างเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว
ตลาดต่างชาติและการลงทุน: การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการเปิดประเทศ ยังคงเป็นโอกาสสำหรับ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน จากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มโครงการระดับลักซ์ชัวรีและทำเลทองในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวหลัก
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เฉพาะทาง: การเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น อสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุ (Senior Living) หรือโครงการที่เน้น Wellness & Healthcare จะเป็นช่องทางใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ
บทสรุปและคำเชิญ
ปี 2567 เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงมีการแข่งขันที่สูงและเต็มไปด้วยพลวัต แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ มีการปรับตัวที่ดี และสามารถมองเห็นอนาคตข้างหน้าได้อย่างแม่นยำ ผู้ที่พลิกเกมได้ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ที่มียอดขายสูงสุด แต่คือผู้ที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของรายได้ การควบคุมต้นทุน และการสร้างกำไรสุทธิได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งปรับตัวเข้ากับเมกะเทรนด์ใหม่ๆ ของโลก
หากท่านคือหนึ่งในผู้ที่กำลังมองหา โอกาสลงทุนอสังหาฯ หรือต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับ กลยุทธ์อสังหาฯ ในปี 2568 เพื่อให้ธุรกิจของท่านเติบโตอย่างแข็งแกร่งบนเส้นทางที่ถูกต้อง อย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่วมวางแผนและคว้าชัยชนะในตลาดที่กำลังเปลี่ยนผ่านนี้ เราพร้อมเป็นที่ปรึกษาเพื่อนำพาท่านไปสู่ความสำเร็จในทุกมิติของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

