• Privacy Policy
  • Sample Page
News
No Result
View All Result
No Result
View All Result
News
No Result
View All Result

กู้ภัยเผยเคสสะเทือนใจ ครอบครัว 5 ชีวิตติดอยู่ในบ้านนาน 4 วัน ไม่มีอาหารและหมดแรงร้องขอความช่วยเหลือ สุดท้ายแม่เสียชีวิตไม่นานก่อนเจ้าหน้าที่ฝ่าน้ำเชี่ยวเข้าไปช่วยได้สำเร็จ

admin79 by admin79
November 26, 2025
in Uncategorized
0
กู้ภัยเผยเคสสะเทือนใจ ครอบครัว 5 ชีวิตติดอยู่ในบ้านนาน 4 วัน ไม่มีอาหารและหมดแรงร้องขอความช่วยเหลือ สุดท้ายแม่เสียชีวิตไม่นานก่อนเจ้าหน้าที่ฝ่าน้ำเชี่ยวเข้าไปช่วยได้สำเร็จ

วันที่ 26 พ.ย. 68 โลกออนไลน์ต่างแชร์เรื่องราวสะเทือนใจ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Prasit Sunamthaworn” ซึ่งเป็นหนึ่งในพลเมืองดีจิตอาสากู้ภัย ได้โพสต์ภาพพร้อมขอ้ความระบุว่า เคสนี้…คือหนึ่งในเหตุการณ์ที่หนักที่สุดที่ทีมเราเคยพบเจอ

ครอบครัว 5 ชีวิต คุณตาอายุ 88 คุณยายอายุ 82 เด็กชายอายุ 11 และ 12 ปี และแม่ของเด็ก อายุเพียงสามสิบกว่า ๆ น้ำท่วมสูงมิดหลังคา ทั้งครอบครัวติดอยู่ข้างใน 4 วันเต็ม ไม่มีอาหาร ไม่มีแรง จะขยับไปไหนก็ไม่ได้ คุณตาต้อง เจาะหลังคาเป็นรูเล็ก ๆ แล้วตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ…ทั้งที่แทบไม่มีแรงเหลืออยู่แล้ว

เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ในพื้นที่มืดสนิท น้ำเชี่ยวแรงจนเรือแทบทรงตัวไม่ได้ แต่เสียงร้องเบา ๆ ที่บ้านข้าง ๆ ได้ยิน…ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ เพื่อนบ้านส่งสัญญาณและชี้พิกัดให้ทีมกู้ภัยของเราเข้าไปทันที พวกเราฝ่าความมืด ฝ่าสายน้ำ และในที่สุดก็ถึงบ้านหลังนั้น

เราต้องพังหลังคาบ้านเข้าไป เพื่อช่วยทุกชีวิตออกมา คุณตา คุณยาย และเด็กชายทั้งสอง…พวกเขารอดชีวิต ปลอดภัย แต่เรื่องที่ทำให้หัวใจพวกเราหนักที่สุดคือ…

แม่ของเด็ก เราไปไม่ทัน เธอหมดแรงอยู่ก่อนหน้าไม่นานนัก ต้านความหนาว ความหิว และความอ่อนล้ามาหลายวัน และสิ้นลม…เพียงไม่นานก่อนที่ทีมเราจะเข้าไปถึง

ตอนที่เราอุ้มร่างเธอออกมา ทุกคนในทีมเงียบสนิท ผมเอง…ยอมรับว่า กลั้นน้ำตาไม่ไหวจริง ๆ มันคือความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากเห็น แต่เราทำดีที่สุดแล้ว ทุกวินาทีเราวิ่งแข่งกับเวลาอย่างสุดกำลัง ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวนี้ ขอให้คุณแม่ผู้จากไป…ได้ไปสู่ภพภูมิที่สงบ

ทีม HART (กู้ภัยพระครูอ๊อด) ISARA TH และทีม Ultra Life Team ทีมกู้ภัยสันกำแพงเชียงใหม่  กู้ภัยสยามนครศรีธรรมราช ขอไว้อาลัยและขอส่งกำลังใจให้ครอบครัวอย่างสุดหัวใจ ขอบคุณทุกคนที่ร่วมสนับสนุนภารกิจกู้ภัย ทุกเรื่องที่เราเล่า…คือชีวิตจริง และทุกกำลังใจของท่าน คือพลังที่ช่วยให้เรายังยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือทุกชีวิตต่อไป

เปิดวิสัยทัศน์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568: ถอดบทเรียนจากยักษ์ใหญ่ สู่โอกาสทองในยุคแห่งการปรับตัว

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการพลิกผันของตลาดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ช่วงปี 2566-2567 ที่ผ่านมานี้ ถือเป็นบททดสอบที่เข้มข้นยิ่งกว่าครั้งใดๆ สำหรับผู้ประกอบการในทุกระดับ ภาพรวมของปี 2566 ที่เราเคยคาดการณ์ว่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างเต็มรูปแบบหลังวิกฤตการณ์ กลับกลายเป็นปีแห่งความท้าทายซ้ำซ้อน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่ถาโถมเข้ามา ส่งผลให้โมเมนตัมที่เคยคุกรุ่นในปี 2565 ต้องสะดุดลงอย่างน่าเสียดาย และต่อเนื่องมาจนถึงปี 2567 ที่ตลาดยังคงต้องเผชิญกับคลื่นลมแห่งความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว, อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงสูง, ภาระหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง, และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด

แต่ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ และในปี 2568 นี้ ผมเชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ “ยุคแห่งการปรับตัวขั้นสูงสุด” ผู้ประกอบการที่สามารถถอดบทเรียนจากความสำเร็จและความผิดพลาดในอดีตได้ จะเป็นผู้ที่คว้าโอกาสทองและขึ้นแท่นเป็นผู้นำตัวจริงในสมรภูมิแห่งนี้ บทความนี้จะเจาะลึกถึงผลประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 41 แห่ง ที่ Property Mentor ได้รวบรวมไว้ในปี 2566 พร้อมวิเคราะห์เจาะลึกถึงกลยุทธ์, จุดแข็ง, จุดอ่อน, และมองไปข้างหน้าถึงทิศทางและเทรนด์สำคัญที่จะกำหนดภูมิทัศน์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 เพื่อให้คุณผู้อ่าน ทั้งนักลงทุน, ผู้พัฒนาโครงการ, และผู้ที่สนใจ ได้เตรียมพร้อมรับมือและช่วงชิงความได้เปรียบในตลาดที่เต็มไปด้วยศักยภาพนี้

ถอดรหัสปี 2566-2567: ภูมิทัศน์แห่งความท้าทายและการปรับตัวของตลาดอสังหาฯ ไทย

หากมองย้อนไปในปี 2566 ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นดังเรือที่กำลังเผชิญกับคลื่นลมแรง แม้จะพยายามก้าวออกจากวิกฤต แต่ปัจจัยลบรอบด้านกลับมาฉุดรั้งให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างเชื่องช้า ข้อมูลจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 41 แห่ง บ่งชี้ว่ารายได้รวมของอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 371,560 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยราว 1.2% จากปี 2565 ที่มีรายได้รวม 376,141 ล้านบาท ตัวเลขนี้อาจดูไม่มากนัก แต่เมื่อเจาะลึกรายบริษัท กลับพบว่ามีถึง 25 จาก 41 บริษัทที่เผชิญกับรายได้รวมที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

บางบริษัทต้องเผชิญกับภาวะรายได้ติดลบมากกว่า 20% อาทิ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์, อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท, และ คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ ที่ลดลงถึงประมาณ -28% เช่นเดียวกับ ไรมอน แลนด์ ที่ติดลบ -26%, ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ -23%, เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ -22% และไซมิส แอสเสท -21% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของบางกลุ่มผู้ประกอบการที่อาจยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ตลาดที่มีกำลังซื้อชะลอตัวและภาวะดอกเบี้ยสูงได้ทันท่วงที โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางถึงล่าง หรือมีสต็อกสินค้าคงเหลือจำนวนมากที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนทางการเงิน

แม้แต่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ก็ยังเผชิญกับรายได้รวมที่ลดลงถึง 18% และที่น่าสนใจคือ ในกลุ่ม Top 10 บริษัทที่มีรายได้รวมสูงสุดในปี 2566 นั้น มีถึง 5 บริษัทที่รายได้ลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งรวมถึง เอพี (ไทยแลนด์) ที่ลดลงเล็กน้อยไม่ถึง 1%, ศุภาลัย -10%, พฤกษา โฮลดิ้ง -9% และออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่รายได้รวมลดลงประมาณ -4% สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าแม้แต่ผู้เล่นระดับบิ๊ก ก็ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันในตลาดและต้องพยายามปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง

การชะลอตัวของตลาดในช่วงปลายปี 2566 และต่อเนื่องมาถึงปี 2567 เป็นผลมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการเลือกตั้งที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนและการบริโภคไม่สดใส, อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยืนอยู่ในระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนทางการเงินของผู้พัฒนาโครงการและกำลังซื้อของผู้ที่ต้องการกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์, รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้การขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นไปได้ยากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อที่มีรายได้ปานกลางถึงน้อย

เจาะลึกขุมกำลัง: ใครคือผู้รอดและผู้นำตัวจริงในสมรภูมิอสังหาฯ?

การจะตัดสินว่าใครคือผู้ชนะตัวจริงในตลาดอสังหาฯ นั้น ไม่สามารถมองได้จากตัวเลขเพียงมิติเดียว เราต้องพิจารณาทั้งรายได้รวม, รายได้จากการขาย และที่สำคัญที่สุดคือ “กำไรสุทธิ” ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและขีดความสามารถในการทำกำไรอย่างแท้จริง

รายได้รวม: ภาพใหญ่ที่อาจซ่อนบางสิ่งไว้

ในปี 2566 แสนสิริ ผงาดขึ้นเป็นแชมป์รายได้รวมสูงสุด ด้วยตัวเลข 39,082 ล้านบาท เติบโตอย่างแข็งแกร่ง 12% เฉือนชนะคู่แข่งตลอดกาลอย่าง เอพี (ไทยแลนด์) ที่มีรายได้รวม 38,399 ล้านบาทไปอย่างน่าจับตา อันดับ 3 ตกเป็นของ ศุภาลัย ด้วยรายได้ 31,818 ล้านบาท ตามมาด้วย แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (30,170 ล้านบาท) และ พฤกษา โฮลดิ้ง (26,132 ล้านบาท)

10 อันดับบริษัทอสังหาฯ ที่มีรายได้รวมสูงสุด ปี 2566:
แสนสิริ: 39,082 ล้านบาท (+12%)
เอพี (ไทยแลนด์): 38,399 ล้านบาท (< -1%)
ศุภาลัย: 31,818 ล้านบาท (-10%)
แลนด์แอนด์เฮ้าส์: 30,170 ล้านบาท (-18%)
พฤกษา โฮลดิ้ง: 26,132 ล้านบาท (-9%)
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น: 24,487 ล้านบาท
ยูนิเวนเจอร์: 17,672 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย): 16,169 ล้านบาท
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้: 15,157 ล้านบาท (-4%)
สิงห์ เอสเตท: 15,066 ล้านบาท

บทวิเคราะห์: การที่แสนสิริสามารถสร้างการเติบโตของรายได้รวมได้ถึง 12% ในปีที่ตลาดชะลอตัว สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์, กลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย, และการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม รายได้รวมอาจไม่ได้สะท้อนถึงความสามารถในการ “ขาย” สินค้าใหม่ทั้งหมดเสมอไป เพราะบางบริษัทอาจมีรายได้จากธุรกิจอื่นเข้ามาเสริม ดังนั้น การพิจารณา “รายได้จากการขาย” จึงมีความสำคัญยิ่ง

รายได้จากการขาย: ขุมพลังแห่งการขับเคลื่อนธุรกิจ

รายได้จากการขาย คือตัวชี้วัดที่แท้จริงถึงความสามารถในการสร้างยอดขายและระบายสินค้าคงคลังออกสู่ตลาด ซึ่งในปี 2566 ภาพรวมของ 41 บริษัท พบว่ามีรายได้จากการขายรวมกัน 268,460 ล้านบาท ลดลงประมาณ -11% เมื่อเทียบกับปี 2565 และมีถึง 30 จาก 41 บริษัทที่รายได้จากการขายลดลง ซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อที่แท้จริงในตลาดที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด บางบริษัทประสบภาวะรายได้จากการขายลดลงอย่างรุนแรง เช่น ไรมอน แลนด์ ที่ลดลงถึง -78% และ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ เกือบ -40% แม้กระทั่งยักษ์ใหญ่อย่าง แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ก็ยังเห็นรายได้จากการขายลดลงถึง -38%

แต่ในภาวะที่ยากลำบากนี้ เอพี (ไทยแลนด์) ยังคงแสดงความเป็น “เจ้าตลาด” ด้านการขาย ด้วยรายได้จากการขายสูงสุดถึง 36,927 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่หลากหลาย ทั้งบ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม, และคอนโดมิเนียม ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนต์ได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการบริหารจัดการสต็อกและการส่งมอบที่รวดเร็ว แสนสิริ ตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยรายได้จากการขาย 32,829 ล้านบาท และเป็น 1 ใน 2 บริษัทใน Top 10 ที่มีรายได้จากการขายเติบโตถึง 7% ซึ่งตอกย้ำถึงความสามารถในการเข้าถึงและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง

ศุภาลัย รักษาตำแหน่งแข็งแกร่งอันดับ 3 ด้วยรายได้จากการขาย 30,836 ล้านบาท ขณะที่ เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการก้าวขึ้นสู่ Top 5 ด้วยรายได้จากการขาย 23,370 ล้านบาท และที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือเป็นการเติบโตในแดนบวกถึง 13% ซึ่งสะท้อนถึงการปรับกลยุทธ์และเจาะตลาดเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พฤกษา โฮลดิ้ง รั้งอันดับ 5 ด้วยรายได้จากการขาย 22,357 ล้านบาท

10 อันดับบริษัทอสังหาฯ ที่มีรายได้จากการขายสูงสุด ปี 2566:
เอพี (ไทยแลนด์): 36,927 ล้านบาท (-2%)
แสนสิริ: 32,829 ล้านบาท (+7%)
ศุภาลัย: 30,836 ล้านบาท (-2%)
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น: 23,370 ล้านบาท (+13%)
พฤกษา โฮลดิ้ง: 22,357 ล้านบาท (-15%)
แลนด์แอนด์เฮ้าส์: 18,966 ล้านบาท (-38%)
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย): 10,019 ล้านบาท
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้: 8,840 ล้านบาท (-24%)
ควอลิตี้ เฮ้าส์: 7,619 ล้านบาท
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค: 7,171 ล้านบาท

ผู้เล่นที่น่าจับตา: เซ็นทรัลพัฒนา ถือเป็นดาวรุ่งที่กำลังติดเครื่องอย่างเต็มกำลังในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ในปี 2566 มีรายได้จากการขาย 5,835 ล้านบาท เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 103% จากปี 2565 ที่มีรายได้ 2,870 ล้านบาท การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการที่ CPN เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตจากโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายที่ปูพรมพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการขยายพอร์ตโฟลิโอและสร้างแหล่งรายได้ใหม่ที่แข็งแกร่ง

บทวิเคราะห์: การที่บริษัทใหญ่หลายแห่ง เช่น AP, Supalai, Pruksa, L&H, Origin มีรายได้จากการขายลดลง แสดงให้เห็นถึงภาวะที่กำลังซื้อชะลอตัวอย่างแท้จริง การที่บางบริษัทอย่าง Sansiri และ SC Asset สามารถสร้างการเติบโตได้ เป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จในการปรับกลยุทธ์, การพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม, และการบริหารจัดการช่องทางการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กำไรสุทธิ: บทพิสูจน์แห่งการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจคือ “กำไรสุทธิ” ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุน, ค่าใช้จ่าย, และสร้างผลตอบแทนที่แท้จริงให้กับผู้ถือหุ้น ในปี 2566 ภาพรวมของ 41 บริษัทมีกำไรสุทธิรวมกัน 44,165 ล้านบาท ลดลงประมาณ -11% จากปี 2565 และที่น่ากังวลคือ มีถึง 12 บริษัทที่ผลประกอบการขาดทุน และกว่า 20 บริษัทมีกำไรสุทธิลดลง

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ยังคงยืนหนึ่งในเรื่องกำไรสูงสุดที่ 7,495 ล้านบาท แม้รายได้รวมและรายได้จากการขายจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจาก “กำไรพิเศษ” จากการขายโรงแรม 2 แห่งเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมรายการพิเศษนี้ ศุภาลัย อาจจะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในเรื่องกำไรสุทธิอย่างแท้จริง โดยในปี 2566 ศุภาลัยทำกำไรได้ 6,083 ล้านบาท เฉือนชนะ เอพี (ไทยแลนด์) ที่มีกำไร 6,054 ล้านบาท ไปอย่างเฉียดฉิว แสนสิริ ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยกำไรสุทธิ 5,846 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 42% ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของรายได้และการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ แม้กำไรจะลดลง -25% แต่ก็ยังรักษากำไรสุทธิไว้ได้ที่ 3,160 ล้านบาท

10 อันดับบริษัทอสังหาฯ ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด ปี 2566:
แลนด์แอนด์เฮ้าส์: 7,495 ล้านบาท
ศุภาลัย: 6,083 ล้านบาท
เอพี (ไทยแลนด์): 6,054 ล้านบาท
แสนสิริ: 5,846 ล้านบาท (+42%)
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้: 3,160 ล้านบาท (-25%)
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น: 2,525 ล้านบาท
ควอลิตี้ เฮ้าส์: 2,503 ล้านบาท
พฤกษา โฮลดิ้ง: 2,339 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย): 1,865 ล้านบาท
เซ็นทรัลพัฒนา: 1,610 ล้านบาท (ประมาณการจากกำไรก่อนภาษี 1,975 ล้านบาท)

บทวิเคราะห์: กำไรสุทธิของ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ชี้ให้เห็นว่าการบริหารสินทรัพย์และรายได้จากธุรกิจต่อเนื่อง (Recurring Income) เป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความมั่นคงในระยะยาว ในขณะที่ แสนสิริ และ เอสซี แอสเสท ที่มีการเติบโตของกำไรอย่างโดดเด่น สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างยอดเยี่ยม การที่ เซ็นทรัลพัฒนา เริ่มติดอันดับ Top 10 ในเรื่องกำไรสุทธิ ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าโมเดลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานกำลังออกดอกออกผลอย่างเป็นรูปธรรม

พลิกโฉมสู่ปี 2568: ปัจจัยกำหนดทิศทางและโอกาสทองของตลาดอสังหาฯ

มองไปข้างหน้าในปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงเป็นสนามที่เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็ซ่อนเร้นไว้ด้วยโอกาสมหาศาลสำหรับผู้ที่เข้าใจบริบทและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว

ปัจจัยมหภาค: คลื่นลมจากภายนอกและภายในที่ต้องจับตา
เศรษฐกิจโลกและเงินเฟ้อ: แม้แนวโน้มเงินเฟ้อจะเริ่มชะลอตัวลง แต่ความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ ซึ่งจะส่งผลต่อการท่องเที่ยว, การส่งออก, และกำลังซื้อของผู้บริโภค หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้ดี จะส่งผลบวกต่อกำลังซื้อของชาวต่างชาติและแรงงานในประเทศ
อัตราดอกเบี้ย: เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการเงินของผู้พัฒนาและภาระผ่อนของผู้ซื้อ แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ ในปี 2568 จะเป็นสัญญาณที่ดี แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
หนี้ครัวเรือน: ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งรัฐบาลและสถาบันการเงินจำเป็นต้องมีมาตรการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหานี้
นโยบายภาครัฐ: มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ และการขยายโครงข่ายคมนาคม จะเป็นตัวแปรสำคัญที่สร้าง “ทำเลทอง” ใหม่ๆ และกระตุ้นความต้องการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า
การท่องเที่ยว: การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้ธุรกิจโรงแรม, อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน, และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า กลับมาคึกคักอีกครั้ง

เทรนด์และโอกาสจุลภาค: สร้างความแตกต่างในยุคใหม่
Product Innovation & Segmentation: ผู้บริโภคมีความต้องการที่หลากหลายและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ (Wellness Residence), สมาร์ทโฮม (Smart Home) ที่ผสานเทคโนโลยี AI, ที่อยู่อาศัยสำหรับสังคมสูงวัย (Aging Society), และโครงการที่ตอบโจทย์การทำงานแบบ Hybrid Work จะกลายเป็นจุดเด่น ผู้พัฒนาที่สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เหล่านี้ได้ จะเป็นผู้ชนะ
Sustainable Development & ESG: กระแสความยั่งยืนและการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็น “มาตรฐาน” ใหม่ การพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, การใช้พลังงานทางเลือก, และการออกแบบพื้นที่สีเขียว จะเพิ่มมูลค่าและดึงดูดนักลงทุนและผู้ซื้อที่ใส่ใจ
PropTech & Digital Transformation: การนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกขั้นตอนของวงจรธุรกิจอสังหาฯ ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลตลาด, การออกแบบ, การก่อสร้าง (ConTech), การตลาดดิจิทัล, ไปจนถึงการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Property Management) จะเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน การใช้ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หรือ Virtual Tour ในการขาย จะกลายเป็นเรื่องปกติ
Mixed-Use Development: โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use) ที่รวมที่อยู่อาศัย, คอมมูนิตี้มอลล์, ออฟฟิศ, และพื้นที่สีเขียวในโครงการเดียว จะยังคงเป็นที่นิยม โดยเฉพาะในทำเลศักยภาพที่การเดินทางสะดวกสบาย
Affordable Housing & First-time Homebuyers: ตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงล่างยังคงมีความต้องการสูง หากผู้พัฒนาสามารถนำเสนอโครงการที่มีราคาเข้าถึงได้และมีคุณภาพ จะยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรก

กลยุทธ์สู่ความเป็นเลิศของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในปี 2568

จากบทเรียนและแนวโน้มข้างต้น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการประสบความสำเร็จในปี 2568 ควรให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เหล่านี้:
ความยืดหยุ่นและคล่องตัว (Agility & Adaptability): ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างฉับไวเป็นสิ่งจำเป็น
วินัยทางการเงิน (Financial Prudence): การบริหารหนี้, ควบคุมต้นทุน, และรักษาสภาพคล่องเป็นหัวใจสำคัญเพื่อความอยู่รอด
สร้างแหล่งรายได้ประจำ (Recurring Income): การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน เช่น โรงแรม, ออฟฟิศให้เช่า, หรือพื้นที่ค้าปลีก เพื่อสร้างกระแสเงินสดและลดความผันผวนจากธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เพื่อขาย
ความเข้าใจลูกค้าเชิงลึก (Customer-Centric Approach): พัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง โดยใช้ Big Data และ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์
สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ (Strong Brand & Trust): ในยุคที่ผู้บริโภคมีความระมัดระวัง การสร้างความน่าเชื่อถือและส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการพิสูจน์ความแข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อย่างแท้จริง ผู้ที่สามารถถอดบทเรียนจากความผันผวนในอดีต, เข้าใจพลวัตของตลาด, และปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับเทรนด์ใหม่ๆ ได้อย่างแม่นยำ จะเป็นผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำและคว้าโอกาสในตลาดที่เต็มไปด้วยศักยภาพนี้

หากท่านพร้อมที่จะก้าวสู่ยุคใหม่ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 หรือต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเพื่อวางแผนกลยุทธ์ของท่าน โปรดติดต่อทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราวันนี้ เพื่อคว้าโอกาสในตลาดที่เต็มไปด้วยความท้าทายและศักยภาพ

Previous Post

แอร์ ภัณฑิลา บริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภคช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ พร้อมลงมือแพ็กถุงยังชีพเพื่อส่งต่ออย่างเร่งด่วน

Next Post

ไม่แผ่ว! ‘ปู มัณฑนา’ รอดคุก หลังศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ประกันตัว 3 แสน เจ้าตัวโพสต์ด่ารัวๆ หลังถูกพิพากษาจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญาในคดีฉ้อโกงหลอกลงทุน

Next Post
ไม่แผ่ว! ‘ปู มัณฑนา’ รอดคุก หลังศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ประกันตัว 3 แสน เจ้าตัวโพสต์ด่ารัวๆ หลังถูกพิพากษาจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญาในคดีฉ้อโกงหลอกลงทุน

ไม่แผ่ว! ‘ปู มัณฑนา’ รอดคุก หลังศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ประกันตัว 3 แสน เจ้าตัวโพสต์ด่ารัวๆ หลังถูกพิพากษาจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญาในคดีฉ้อโกงหลอกลงทุน

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • เคน ภูภูมิ ขอไม่เปิดเผยตัวเลขความเสียหายคาเฟ่ที่หาดใหญ่ ยืนยันสู้ต่อ เดินหน้าฟื้นฟูและปรับปรุงร้านใหม่
  • ‘จ๊ะ นงผณี’ เปิดพฤติกรรม ‘ผู้ชาย 3 ประเภท’ ที่มักโผล่ในข่าวฉาว เตือนสาวๆ ถ้าเจอแบบนี้ให้รีบหนีทันที!
  • “นายกฯ” นำคณะลงพื้นที่สงขลา–สตูล ถกแผนฟื้นฟูหลังน้ำท่วม พร้อมปฏิเสธตอบดราม่า นายกฯ อบจ.สงขลา ดูแคลน อส.
  • “กุญแจซอล” คุณแม่ลูก 5 เปิดภาพครอบครัวสุดอบอุ่น รายล้อมด้วยสามีและลูกๆ ทั้งหมด ดูมีความสุขสุดๆ
  • เช็กสถานะรับเงินเยียวยาน้ำท่วม 2568! เปิดขั้นตอนลงทะเบียนครบถ้วน พร้อม 4 รูปแบบการจ่ายเงินให้ผู้ประสบอุทกภัย

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.