“กัณวีร์” โต้พรรคเป็นธรรม ยืนยันไม่เป็นความจริง ปมแอบอ้างมติพรรคโหวตนายกฯ หลังถูกปลดพ้นเลขาฯ เผยรู้พร้อมประชาชน ชี้ถูกจัดฉาก
วันที่ 4 ธ.ค.2568 นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อพรรคกล้าธรรม โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจง หลังพรรคเป็นธรรม ปลดพ้นจากตำแหน่ง “เลขาธิการพรรค” ซึ่งระบุเหตุผลว่าแอบอ้างมติพรรคโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่ผ่านมา โดยระบุข้อความว่า
“ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้
1. การกล่าวหาว่าอ้างมติพรรคในการมตินั้นไม่เป็นความจริง จะมาบอกว่าแอบอ้างมติพรรคได้อย่างไร ในเมื่อพรรคไม่เคยมีมติใดๆ ในประเด็นนี้ หรือประเด็นใดๆ ตั้งแต่แรก หรือหากเคยมีจริง ก็ไม่เคยถูกสื่อสารมาถึงผมเลย ผมจึงไม่อาจอ้างอิงสิ่งที่ผมไม่เคยได้รับรู้ได้ การลงมติในสภาฯ ของผมเป็นไปตามดุลยพินิจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และผมไม่เคยอ้างถึงมติพรรคในเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น การโหวตนายกรัฐมนตรีได้เกิดขึ้น “มาสักพักแล้ว” การจะหยิบเรื่องนี้มาใช้เป็นเหตุปลดในเวลานี้ จึงยิ่งทำให้ประชาชนตั้งคำถามมากขึ้นว่าทำเพื่ออะไร

2. ในทางปฏิบัติ ผมเป็น ส.ส. คนเดียวของพรรค และไม่ได้มีการติดต่อหรือหารือร่วมกับฝ่ายบริหารพรรคมาเป็นเวลานาน
ช่วงที่ผ่านมา ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ผมทำงานในพื้นที่และในสภาฯ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่พรรคดำเนินกิจกรรมในส่วนของพรรคเอง การที่มีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค จึงเป็นสิ่งที่ผมเพิ่งได้รับทราบพร้อมกับประชาชนทั่วไป และถ้าจะบอกว่าเป็น “การจัดฉาก” ผมคงเป็นคนที่ถูกจัดฉากเสียเอง
3. ตำแหน่งหน้าที่ไม่ได้มีผลต่อการทำงานของผม และการถูกปลดออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคไม่ได้ให้คุณหรือให้โทษใดๆ ต่อผมเลย สิ่งเดียวที่ผมสนใจและทุ่มเทให้เสมอคือ การทำงานรับใช้ประชาชน งานมนุษยธรรม ขับเคลื่อนการเมืองที่โปร่งใส สร้างชื่อเสียงประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ
ผมจะเดินหน้าทำงานการเมืองด้วยความซื่อสัตย์ และยึดมั่นในอุดมการณ์เดิมที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
ภารกิจในการรับใช้ประชาชนไม่เคยเปลี่ยน อุดมการณ์ไม่เคยลดน้อยลง และหน้าที่ในฐานะผู้แทนราษฎรจะยังดำเนินต่อไปอย่างเต็มกำลังเช่นเดิม
ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจ และขอยืนยันว่าจะทำงานอย่างหนักเพื่อให้ความไว้วางใจนั้นเกิดผลที่ดีที่สุดต่อบ้านเมือง”
ที่สุดแห่งซูเปอร์คาร์: รุ่นเด่นประจำปี 2025
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงยนตรกรรมระดับโลกมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของตลาดซูเปอร์คาร์มาอย่างต่อเนื่อง ปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ปีใหม่บนปฏิทิน แต่เป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของเครื่องจักรกลอันทรงพลังที่ผสานรวมเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับงานฝีมืออันประณีต ในยุคที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่กระแสการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานอย่างเต็มตัว เหล่าผู้ผลิตซูเปอร์คาร์ระดับตำนานต่างนำเสนอผลงานที่ท้าทายขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการผสมผสานพลังงานไฟฟ้าเข้ากับเครื่องยนต์สันดาปอย่างลงตัว หรือการยกระดับสมรรถนะของเครื่องยนต์สันดาปให้ถึงขีดสุดก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะมาถึง
การเลือก “สุดยอด” ซูเปอร์คาร์นั้นไม่ใช่แค่การมองหาตัวเลขแรงม้าหรืออัตราเร่งที่หวือหวา แต่มันคือการค้นหาประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้ที่ติ นวัตกรรมที่ก้าวล้ำ และแน่นอนว่ารวมถึงเสน่ห์ที่ชวนให้หลงใหล ไม่ว่าคุณจะเป็นนักสะสม ผู้หลงใหลความเร็ว หรือกำลังมองหาการลงทุนในยนตรกรรมระดับพรีเมียมที่โดดเด่น บทความนี้จะเจาะลึกถึง 6 สุดยอดซูเปอร์คาร์ที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในปี 2025 พร้อมมุมมองเชิงลึกจากประสบการณ์ตรงที่ผมอยากจะถ่ายทอดให้คุณได้รับทราบถึงแก่นแท้ของแต่ละรุ่น
Ferrari 296 GTB
เมื่อพูดถึง Ferrari ชื่อนี้ย่อมผูกพันกับความเร่าร้อนและสมรรถนะที่เหนือชั้นเสมอ และสำหรับ Ferrari 296 GTB ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2022 ก็ได้ตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ของค่ายม้าลำพองในการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งพลังงานอย่างกล้าหาญ นี่คือซูเปอร์คาร์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) คันแรกของ Ferrari ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนๆ ทั่วโลกต่างจับตามอง และจากประสบการณ์ ผมกล้าพูดได้เลยว่ามันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า Ferrari สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ได้โดยไม่ทิ้งจิตวิญญาณแห่งสนามแข่ง
หัวใจหลักของ 296 GTB คือเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบชาร์จเจอร์ขนาด 2.9 ลิตรที่ให้พละกำลัง 653 แรงม้า ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ V6 ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ Ferrari เคยผลิตมา ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 167 แรงม้า ผลลัพธ์คือพละกำลังรวมสูงสุด 830 แรงม้า (619 กิโลวัตต์) และแรงบิดมหาศาล 740 นิวตันเมตร ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เองที่ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์ที่เร็วที่สุดในโลก อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม. นั้นน่าทึ่ง แต่สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือการผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้าที่ไร้รอยต่อ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสถึงพละกำลังที่มาอย่างฉับพลันและต่อเนื่อง
ในเชิงของเทคโนโลยี 296 GTB ได้รับการออกแบบให้สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 25 กม. ซึ่งอาจดูเหมือนไม่มากนักเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป แต่ในบริบทของซูเปอร์คาร์ มันคือการเปิดมิติใหม่ของการใช้งานที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองด้วยโหมดไฟฟ้าเงียบๆ หรือการปลดปล่อยพละกำลังเต็มพิกัดบนถนนโล่งๆ นี่คือการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของระบบปลั๊กอินไฮบริดที่ไม่เพียงแค่ลดการปล่อยมลพิษ แต่ยังช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้นไปอีกขั้น
ด้านการออกแบบภายนอก ถึงแม้จะยังคงกลิ่นอายของ Ferrari ในยุค 488 GTB แต่ 296 GTB ก็มาพร้อมเส้นสายที่ทันสมัยและโฉบเฉี่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฟหน้าและไฟท้ายดีไซน์ใหม่ รวมถึงช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ที่ด้านข้างตัวรถ ซึ่งไม่เพียงสวยงามแต่ยังช่วยเรื่องอากาศพลศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ส่วนภายในห้องโดยสารเน้นความเรียบง่ายแต่ล้ำสมัย ด้วยจอแสดงผลดิจิทัลขนาด 16 นิ้วที่โดดเด่นตรงกลางแผงหน้าปัด และจอแสดงผลขนาดเล็กหลังพวงมาลัย เบาะนั่งแบบสปอร์ตที่โอบกระชับสรีระของผู้ขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ทุกการเดินทางไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ล้วนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสะดวกสบาย สำหรับใครที่กำลังมองหาซูเปอร์คาร์ที่ผสมผสานประสิทธิภาพ เทคโนโลยี และความหลงใหลในการขับขี่ได้อย่างลงตัวในปี 2025 Ferrari 296 GTB คือตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด ด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและสถานะการเป็นผู้บุกเบิกในเซกเมนต์ไฮบริด ทำให้มูลค่าของมันในตลาดรถหรูมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว เป็นการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของนวัตกรรมแห่งอนาคต
Porsche 911 GT3 RS
Porsche 911 GT3 RS คือชื่อที่มักจะถูกเอ่ยถึงเมื่อพูดถึงซูเปอร์คาร์ที่เน้นสมรรถนะบนสนามแข่งอย่างแท้จริง ผมกล้าพูดได้เลยว่าในบรรดาซูเปอร์คาร์ทั้งหมดที่ผมเคยสัมผัสมา น้อยคันนักที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่บริสุทธิ์และเร้าใจได้เท่า GT3 RS โดยเฉพาะรุ่น 992 ที่เปิดตัวในปี 2022 และยังคงเป็นเจ้าของหัวใจผู้รักความเร็วมาจนถึงปี 2025 มันไม่ใช่แค่รถที่เร็ว แต่เป็นรถที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อท้าทายขีดจำกัดของฟิสิกส์ เพื่อมอบการควบคุมที่แม่นยำและการตอบสนองที่ฉับไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ภายใต้ฝากระโปรงท้ายของ 911 GT3 RS คือเครื่องยนต์ Boxer 6 สูบนอนแบบไร้ระบบอัดอากาศ (Naturally Aspirated) ขนาด 4.0 ลิตร ที่ได้รับการปรับแต่งอย่างประณีต มอบพละกำลัง 525 แรงม้า (จากเดิม 520 แรงม้าในรุ่น 991.2) และแรงบิด 470 นิวตันเมตร แม้ตัวเลขแรงม้าอาจไม่สูงเท่าคู่แข่งที่เป็นไฮบริดหรือมีระบบอัดอากาศ แต่เสน่ห์ที่แท้จริงของเครื่องยนต์ N/A คือการตอบสนองที่คมชัด เสียงคำรามที่เป็นเอกลักษณ์ และรอบเครื่องยนต์ที่กวาดไปถึง 9,000 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากขึ้นในยุคปัจจุบัน อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 296 กม./ชม. (ลดลงเล็กน้อยจากรุ่นก่อนเนื่องจากแรงกดอากาศที่เพิ่มขึ้นมหาศาล) เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสามารถของมัน
สิ่งที่ทำให้ 911 GT3 RS แตกต่างอย่างแท้จริงคือปรัชญาการออกแบบที่มุ่งเน้นอากาศพลศาสตร์และน้ำหนักเบา ตัวรถได้รับการปรับแต่งเพื่อเพิ่มแรงกดอากาศ (downforce) อย่างมหาศาล โดยมีปีกหลังขนาดใหญ่ที่โดดเด่น และช่องระบายอากาศจำนวนมากที่ไม่ได้มีไว้แค่ความสวยงาม แต่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนและระบายความร้อนได้อย่างสูงสุด มันสร้างแรงกดอากาศได้มากกว่า GT3 RS รุ่นก่อนหน้าถึงสองเท่า และมากกว่า 911 GT3 รุ่นมาตรฐานถึงสามเท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเหลือเชื่อ ทำให้รถคันนี้เปรียบเสมือนรถแข่งที่ถูกกฎหมายบนถนน ระบบกันสะเทือนได้รับการปรับแต่งให้มีความแข็งแกร่งและแม่นยำ เบรกคาร์บอนเซรามิก (PCCB) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ให้ประสิทธิภาพการหยุดรถที่ยอดเยี่ยม และการลดทอนการตกแต่งภายในที่ไม่จำเป็นเพื่อลดน้ำหนัก คือการตอกย้ำถึงจุดยืนของรถคันนี้
ห้องโดยสารของ GT3 RS เน้นการใช้งานเป็นหลัก เบาะนั่งแบบ Bucket Seat ที่โอบกระชับและพวงมาลัย Alcantara คือสิ่งที่บ่งบอกว่ารถคันนี้พร้อมสำหรับสนามแข่ง การเชื่อมต่อและฟังก์ชันความบันเทิงอาจไม่ใช่จุดเด่น แต่สำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การขับขี่ที่ดิบ เผ็ดร้อน และท้าทายความสามารถของตนเองอย่างแท้จริง Porsche 911 GT3 RS คือสุดยอดซูเปอร์คาร์ที่ไม่เป็นสองรองใครในปี 2025 นี่คือรถที่ไม่ได้แค่พาคุณไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว แต่ยังมอบความรู้สึกร่วมในการควบคุมทุกจังหวะของการขับขี่อย่างเต็มเปี่ยม สำหรับนักลงทุนด้านรถยนต์และผู้ที่ต้องการ “ซื้อซูเปอร์คาร์” ที่มีโอกาสเป็นของสะสมล้ำค่าในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากเป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังคงไว้ซึ่งเครื่องยนต์ N/A ที่หายากขึ้นเรื่อยๆ GT3 RS จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
Lamborghini Huracan Tecnica
ในโลกของซูเปอร์คาร์ที่เริ่มก้าวสู่ยุคไฮบริดและไฟฟ้าเต็มตัว Lamborghini Huracan Tecnica ที่เปิดตัวในเดือนเมษายน 2022 ได้ยืนหยัดอย่างสง่างามในฐานะการเฉลิมฉลองให้กับเครื่องยนต์ V10 แบบไร้ระบบอัดอากาศอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์กระทิงดุ ด้วยประสบการณ์ที่ผมได้เห็นวิวัฒนาการของ Huracan มาตั้งแต่เริ่มต้น Tecnica ถือเป็นจุดสูงสุดของการผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพบนสนามแข่งกับความสะดวกสบายในการขับขี่บนถนน มันคือการเชื่อมโยงช่องว่างระหว่างรุ่น Evo และรุ่น STO ที่เน้นสนามแข่งโดยเฉพาะ ทำให้มันเป็นซูเปอร์คาร์ V10 ที่น่าปรารถนาที่สุดรุ่นหนึ่งในปี 2025 ก่อนที่ยุคของเครื่องยนต์ V10 จะสิ้นสุดลง
หัวใจสำคัญของ Huracan Tecnica คือเครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตร ที่หายใจเองตามธรรมชาติ ให้พละกำลังสูงสุดถึง 640 แรงม้า และแรงบิด 565 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับรุ่น STO ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีดไปยังล้อหลังโดยตรง สิ่งที่น่าประทับใจคือการตอบสนองของคันเร่งที่ฉับไวและเสียงคำรามของเครื่องยนต์ V10 ที่ก้องกังวาน ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่บริสุทธิ์และดิบเถื่อน หาได้ยากในปัจจุบัน อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม. นั้นแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของมัน
ด้านการออกแบบ Tecnica มีดีไซน์ที่ดุดันและสปอร์ตยิ่งกว่า Huracan รุ่นก่อนๆ ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ ช่องระบายอากาศที่ออกแบบใหม่ กันชนหน้าและหลังที่ได้รับการปรับปรุง รวมถึงล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ที่ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีแค่ความสวยงาม แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ ลดแรงต้านและเพิ่มแรงกดอากาศ ทำให้รถมีความมั่นคงและยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้นในขณะใช้ความเร็วสูง การออกแบบที่คำนึงถึงฟังก์ชันการทำงานนี้เป็นสิ่งที่ผมประทับใจเสมอในรถซูเปอร์คาร์ของ Lamborghini ที่ไม่เคยละทิ้งความงดงามตามแบบฉบับอิตาลี
ภายในห้องโดยสาร Tecnica ยังคงรักษาความหรูหราตามแบบฉบับ Lamborghini แต่เน้นความสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยการตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง เบาะนั่งแบบสปอร์ตที่โอบกระชับ และจอแสดงผลดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้วสำหรับมาตรวัดความเร็ว และจอแสดงผลขนาด 8.4 นิ้วตรงกลางที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในยุคปัจจุบัน นี่คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความดิบเถื่อนของเครื่องจักรกลกับความสะดวกสบายและความทันสมัยที่ผู้ขับขี่ต้องการ
สำหรับผู้ที่ต้องการซูเปอร์คาร์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่แท้จริง ไม่มีการประนีประนอมในเรื่องเสียงของเครื่องยนต์และการตอบสนองที่เฉียบคม Lamborghini Huracan Tecnica คือสุดยอดทางเลือกในปี 2025 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะหนึ่งในซูเปอร์คาร์ V10 N/A รุ่นสุดท้ายที่น่าจะเป็นของสะสมล้ำค่าในอนาคต สำหรับการลงทุนในรถยนต์ประเภทนี้ ผู้ที่ต้องการ “สินเชื่อรถหรู” หรือ “ประกันภัยรถยนต์พรีเมียม” ควรพิจารณาถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศักยภาพในการเป็นของสะสมของ Tecnica ที่จะเพิ่มมูลค่าได้ในระยะยาว
McLaren Artura
McLaren Artura ถือเป็นก้าวสำคัญของค่ายผู้ผลิตจาก Woking ประเทศอังกฤษ ในการเข้าสู่ยุคซูเปอร์คาร์ไฮบริดอย่างเต็มตัว เปิดตัวครั้งแรกในปี 2021 Artura ไม่ใช่แค่รถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกในสายการผลิตปกติของ McLaren แต่ยังเป็นซูเปอร์คาร์คันแรกที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ที่เรียกว่า MCLA (McLaren Carbon Lightweight Architecture) ซึ่งเป็นโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาที่ออกแบบมาเพื่อรองรับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าโดยเฉพาะ จากประสบการณ์ที่ได้เห็นการพัฒนาเทคโนโลยีของ McLaren มาตลอด Artura คือบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ยนตรกรรมที่ผสานประสิทธิภาพ ความประหยัด และเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
หัวใจของ McLaren Artura คือระบบขับเคลื่อนไฮบริดที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ขนาด 3.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า มอบพละกำลังรวมสูงสุดถึง 680 แรงม้า และแรงบิด 720 นิวตันเมตร ด้วยน้ำหนักตัวที่เบาเพียง 1,498 กิโลกรัม (รวมแบตเตอรี่) Artura จึงสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม. นอกจากตัวเลขที่น่าประทับใจแล้ว สิ่งที่ทำให้ Artura โดดเด่นคือการเป็นซูเปอร์คาร์ไฮบริดคันแรกที่มาพร้อมกับระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) เช่นเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง F1 และระบบเบรกแบบ Regenerative ที่ช่วยชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ นี่คือการยกระดับเทคโนโลยีในสนามแข่งสู่รถยนต์ใช้งานจริง ทำให้ Artura ไม่เพียงแค่เร็ว แต่ยังฉลาดและมีประสิทธิภาพด้านพลังงานอีกด้วย
ด้านการออกแบบ Artura ยังคงรักษารูปแบบที่สง่างามและมุ่งเน้นอากาศพลศาสตร์ตามแบบฉบับของ McLaren เส้นสายที่ไหลลื่น ช่องรับลมขนาดใหญ่ และไฟหน้าดีไซน์ใหม่ ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของอากาศและสร้างแรงกดอากาศสูงสุด ห้องโดยสารภายในเน้นความทันสมัยและใช้งานง่าย ด้วยจอแสดงผลดิจิทัลขนาดใหญ่ที่พวงมาลัยและจอสัมผัสตรงกลางที่ควบคุมระบบต่างๆ ของรถได้อย่างสะดวกสบาย เบาะนั่งแบบสปอร์ตที่ออกแบบมาเพื่อมอบความสบายในการขับขี่ทางไกลและรองรับสรีระได้ดีเยี่ยมเมื่ออยู่ในสนามแข่ง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่า McLaren Artura ไม่ใช่แค่การตอบรับกระแสไฮบริด แต่เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของ McLaren ในการสร้างซูเปอร์คาร์ที่ยังคงมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจในแบบที่ไม่มีใครเหมือน พร้อมทั้งตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืนและการประหยัดพลังงานในยุค 2025 นี่คือซูเปอร์คาร์ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ที่ถูกออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดน้ำมัน และสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ขับขี่ได้ตลอดเวลา สำหรับผู้ที่ต้องการ “ดูแลรักษารถซูเปอร์คาร์” ที่เป็นไฮเทคเช่นนี้ การศึกษาข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญและใช้บริการศูนย์บริการที่ได้มาตรฐานจึงเป็นสิ่งสำคัญ การลงทุนใน Artura คือการลงทุนในอนาคตของยนตรกรรมสมรรถนะสูงอย่างแท้จริง
Maserati MC20
Maserati MC20 คือสัญญาณการกลับมาของแบรนด์ตรีศูลสู่สังเวียนซูเปอร์คาร์อย่างเต็มภาคภูมิ หลังจากห่างหายจากตลาดซูเปอร์คาร์ไปนานนับสิบปี เปิดตัวครั้งแรกในปี 2020 และเริ่มวางจำหน่ายในปี 2021 MC20 ไม่ใช่แค่รถยนต์ใหม่ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นคืนชีพของจิตวิญญาณแห่ง Maserati ที่เคยสร้างชื่อเสียงในอดีต ด้วยประสบการณ์ของผมในอุตสาหกรรมนี้ ผมเห็นว่า MC20 ได้พลิกโฉมภาพลักษณ์ของ Maserati จากแบรนด์รถหรูมาเป็นผู้เล่นที่น่าเกรงขามในตลาดซูเปอร์คาร์อีกครั้งในปี 2025
หัวใจของ MC20 คือเครื่องยนต์ Nettuno (เนปจูน) V6 เทอร์โบคู่ขนาด 3.0 ลิตร ที่พัฒนาโดย Maserati เอง ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เครื่องยนต์นี้ให้พละกำลัง 630 แรงม้า และแรงบิด 730 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับเครื่องยนต์ V6 ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8 สปีดไปยังล้อหลัง ทำให้ MC20 สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 325 กม./ชม. และเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.9 วินาที สิ่งที่โดดเด่นคือเทคโนโลยี Pre-chamber Combustion System ที่มาจากรถแข่ง F1 ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้และลดมลพิษ ทำให้เครื่องยนต์ Nettuno เป็นหนึ่งใน V6 ที่ล้ำหน้าที่สุดในตลาด
โครงสร้างของ MC20 สร้างขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์โมโนค็อกทั้งคัน ทำให้มีน้ำหนักเบาเพียง 1,500 กิโลกรัม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้รถมีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักที่น่าทึ่ง นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบกันสะเทือนแบบดับเบิลวิชโบนพร้อมโช้คอัพแบบแอคทีฟ และระบบเบรกคาร์บอนเซรามิกที่ให้ประสิทธิภาพการหยุดรถที่เหนือชั้น การออกแบบภายนอกของ MC20 โดดเด่นด้วยประตูแบบปีกผีเสื้อ (butterfly doors) ที่สวยงามและช่องระบายอากาศที่ออกแบบมาอย่างลงตัว เพื่ออากาศพลศาสตร์ที่ดีที่สุด โดยยังคงรักษาความสง่างามตามแบบฉบับอิตาลีไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม
ภายในห้องโดยสารของ MC20 เน้นความหรูหราแบบสปอร์ต พร้อมเทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย ด้วยหน้าจอแสดงผลดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้วสำหรับแผงหน้าปัดและหน้าจอสัมผัสขนาดเดียวกันสำหรับระบบความบันเทิง เบาะนั่งที่โอบกระชับ และการตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง เช่น อัลคันทาร่า และคาร์บอนไฟเบอร์ คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความตั้งใจของ Maserati ในการมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับให้กับผู้ขับขี่
Maserati MC20 มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ MC20 Coupe ซึ่งเป็นรุ่นหลังคาแข็งพื้นฐาน, MC20 Spider รุ่นเปิดประทุนพร้อมหลังคาผ้า และ MC20 Trofeo ซึ่งเป็นรุ่นสมรรถนะสูงที่อาจมาพร้อมเครื่องยนต์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นและระบบกันสะเทือนที่แข็งแกร่งกว่า ในปี 2025 MC20 ยังคงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับผู้ที่ต้องการซูเปอร์คาร์ที่มีเอกลักษณ์ ดีไซน์สวยงาม สมรรถนะอันทรงพลัง และจิตวิญญาณของอิตาลีอย่างแท้จริง นี่คือการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถที่มีทั้งความพิเศษและสมรรถนะที่เหนือชั้น นอกจากนี้ Maserati ยังได้ประกาศแผนการพัฒนารุ่น MC20 Folgore ที่เป็นระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเข้ามาเติมเต็มไลน์ผลิตภัณฑ์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในอนาคต ทำให้ MC20 เป็นรากฐานสำคัญของการกลับมาของ Maserati ในยุคใหม่
Chevrolet Corvette C8 Z06
เมื่อพูดถึงซูเปอร์คาร์สัญชาติอเมริกัน Chevrolet Corvette คือชื่อที่ไม่เคยตกเทรนด์ และสำหรับรุ่น C8 Z06 ซึ่งเป็นรุ่นสมรรถนะสูงของ Corvette C8 ที่เปิดตัวในปี 2019 และเริ่มส่งมอบในปี 2023 นั้น ได้ยกระดับคำว่า “ซูเปอร์คาร์ราคาคุ้มค่า” ไปอีกขั้น จากประสบการณ์ของผมในตลาดรถยนต์ Corvette C8 Z06 ไม่ใช่แค่การตอบโต้คู่แข่งจากยุโรปเท่านั้น แต่เป็นการพิสูจน์ว่าอเมริกาเองก็สามารถสร้างสรรค์ซูเปอร์คาร์เครื่องยนต์วางกลางที่โดดเด่นทั้งในด้านสมรรถนะและรูปลักษณ์ได้ และในปี 2025 Z06 ยังคงเป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์ที่มอบความคุ้มค่าและความเร้าใจได้มากที่สุดในตลาด
หัวใจสำคัญที่ทำให้ C8 Z06 แตกต่างคือเครื่องยนต์ V8 แบบ “Flat-Plane Crank” ขนาด 5.5 ลิตร รหัส LT6 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ N/A ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยติดตั้งในรถโปรดักชั่นคาร์ ให้พละกำลังสูงสุดถึง 670 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์สูงถึง 8,400 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิด 623 นิวตันเมตร ส่งกำลังไปยังล้อหลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8 สปีด อัตราเร่ง 0-96.5 กม./ชม. (0-60 ไมล์/ชม.) ในเวลาเพียง 2.6 วินาที และความเร็วสูงสุดกว่า 310 กม./ชม. คือตัวเลขที่น่าตกใจเมื่อเทียบกับราคาค่าตัวของมัน เครื่องยนต์ Flat-Plane Crank ยังให้เสียงที่ดุดันและคล้ายรถแข่งอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ Z06 มีเอกลักษณ์และแตกต่างจาก Corvette รุ่นอื่นๆ อย่างชัดเจน
ด้านการออกแบบภายนอก C8 Z06 มีดีไซน์ที่ดุดันและกว้างขึ้นกว่า Corvette C8 รุ่นมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด ด้วยซุ้มล้อที่กว้างขึ้นเพื่อรองรับยางที่ใหญ่ขึ้น ช่องระบายอากาศขนาดใหญ่รอบคันเพื่อเพิ่มการระบายความร้อนและอากาศพลศาสตร์ รวมถึงปีกหลังขนาดใหญ่ที่สามารถปรับระดับได้ (ในแพ็คเกจ Z07) ที่ช่วยเพิ่มแรงกดอากาศได้อย่างมหาศาล ทุกองค์ประกอบถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มสมรรถนะในสนามแข่ง โดยยังคงความสวยงามและเส้นสายที่เฉียบคมตามแบบฉบับของ Corvette ไว้อย่างครบถ้วน
ภายในห้องโดยสารของ C8 Z06 ยังคงเน้นความทันสมัยและสะดวกสบายเช่นเดียวกับ C8 รุ่นมาตรฐาน แต่เสริมด้วยวัสดุคุณภาพสูงยิ่งขึ้น และเบาะนั่งแบบสปอร์ตที่โอบกระชับ จอแสดงผลดิจิทัลขนาดใหญ่ที่แผงหน้าปัดและจอสัมผัสตรงกลางที่ควบคุมระบบ Infotainment ที่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto คือสิ่งที่ผู้ขับขี่จะได้รับ นอกจากนี้ยังมี Performance Data Recorder ที่ช่วยบันทึกข้อมูลการขับขี่ในสนามแข่งได้อย่างละเอียด
ในตลาดซูเปอร์คาร์ปี 2025 Chevrolet Corvette C8 Z06 คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะระดับสูง ในราคาที่เข้าถึงได้มากกว่าคู่แข่งจากยุโรปอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเครื่องยนต์ V8 N/A ที่เป็นเอกลักษณ์ เสียงที่เร้าใจ และสมรรถนะที่น่าทึ่งทั้งบนถนนและสนามแข่ง ทำให้ Z06 เป็นซูเปอร์คาร์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้นและทรงประสิทธิภาพได้อย่างไม่เป็นรองใคร สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณา “ซื้อซูเปอร์คาร์” ที่ให้ความคุ้มค่าและสมรรถนะสูงสุด C8 Z06 คือตัวเลือกที่ปฏิเสธได้ยาก นอกจากนี้ยังมีรุ่น Corvette E-Ray ที่ผสานระบบไฮบริดและขับเคลื่อน 4 ล้อเข้ามา ทำให้ Corvette C8 Series มีตัวเลือกที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการในปี 2025
บทสรุปและคำเชิญพิเศษ
ตลอดทศวรรษที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสและวิเคราะห์ซูเปอร์คาร์เหล่านี้ ผมได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแต่ละแบรนด์ในการผลักดันขีดจำกัดของวิศวกรรมยานยนต์ไปข้างหน้า ในปี 2025 นี้ ตลาดซูเปอร์คาร์ยังคงเต็มไปด้วยความหลากหลายและนวัตกรรม ตั้งแต่ซูเปอร์คาร์ไฮบริดล้ำยุคที่ผสานพลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงได้อย่างลงตัว ไปจนถึงเครื่องจักรที่ยังคงยึดมั่นในเสน่ห์ดิบๆ ของเครื่องยนต์สันดาปธรรมชาติ แต่ละรุ่นที่เราได้พูดถึงไปล้วนมีเอกลักษณ์และปรัชญาการออกแบบที่โดดเด่น เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะ วิทยาศาสตร์ และความหลงใหลที่ยากจะหาอะไรมาเทียบเคียงได้
การเลือก “ที่สุด” ของซูเปอร์คาร์นั้นขึ้นอยู่กับมุมมองและความต้องการเฉพาะตัวของผู้ขับขี่ บางท่านอาจหลงใหลในเทคโนโลยีล้ำสมัยและความยั่งยืนของระบบไฮบริด ในขณะที่บางท่านอาจโหยหาเสียงคำรามดิบๆ และการตอบสนองที่เฉียบคมของเครื่องยนต์ N/A สุดท้ายแล้ว ซูเปอร์คาร์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ยานพาหนะ แต่เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอกที่สะท้อนถึงความสำเร็จและเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนมากมายในโลกแห่งยานยนต์
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอย้ำว่าการเป็นเจ้าของซูเปอร์คาร์ไม่ใช่แค่การตัดสินใจซื้อรถยนต์ แต่เป็นการลงทุนในประสบการณ์อันเหนือระดับ ความภาคภูมิใจ และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาที่จะก้าวเข้าสู่โลกของยนตรกรรมระดับพรีเมียมนี้ ไม่ว่าคุณจะสนใจ “ซื้อซูเปอร์คาร์” ด้วยเงินสด ใช้ “สินเชื่อรถหรู” หรือต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับการ “ประกันภัยรถยนต์พรีเมียม” ที่เหมาะสม รวมถึงการ “ดูแลรักษารถซูเปอร์คาร์” ให้คงสภาพดีเยี่ยมเสมอ สิ่งสำคัญคือการศึกษาข้อมูลให้รอบด้านและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
หากคุณพร้อมที่จะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นกับหนึ่งในสุดยอดซูเปอร์คาร์แห่งปี 2025 หรือต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจ ผมขอเชิญชวนให้คุณติดต่อเราวันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญของเรา พร้อมโอกาสในการทดลองสัมผัสพลังและสมรรถนะที่ไม่มีใครเทียบได้ด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมรถยนต์เหล่านี้ถึงเป็นที่สุดแห่งความปรารถนาของคนทั้งโลก

