เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองโฆษกพรรคประชาชน โพสต์ภาพจุดที่อยู่ของผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ พร้อมข้อความว่า อัพเดทเช้านี้ เอามาให้ดูเผื่อรัฐบาลจะคิดออกว่าต้องทำอะไร

ภาพนี้คือ เคสขอความช่วยเหลือในพื้นที่หาดใหญ่ ตลอด 3-4 วัน ที่ผ่านมา อยากให้เข้าใจว่าอาสาสมัคร ภาคประชาชน รวมถึงพวกเราเองพยามกันหนักมากๆแต่ความเดือดร้อนก็มากๆๆๆเช่นกั
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ฝากส่งให้ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ (ศนค.) ที่กำลังประชุมอยู่ในโรงแรมใกล้สนามบินหาดใหญ่ ถ้าเริ่มต้นไม่ถูกว่าจะทำยังไงดี ดิฉันให้ยืมค่ะ เอาไปจัดทำให้เป็นระบบ สั่งการหน่วยงานทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ทันที ดาวกระจายไปทั้งเมืองเลย

และวันนี้ดิฉันภคมน หัวหน้าพรรคประชาชน และพี่ๆ ทีมงานอาสา มูลนิธิเต็กก่านครศรีธรรมราชจะเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในอำเภอหาดใหญ่โดยใช้ฐานข้อมูลนี้เป็นหลัก และหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างเป็นรูปธรรมไม่มากก็น้อย ขอบคุณทีมงานอาสาสมัครที่รวบรวมเคสร้องเรียนและจัดระบบพวกคุณสุดยอด
ถอดรหัสอนาคตอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568: ใครคือผู้ชนะตัวจริงในสมรภูมิที่ท้าทาย?
ในฐานะที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการพลิกผันของตลาดมาแล้วหลายครั้ง แต่ปี 2568 นี้ นับเป็นอีกหนึ่งปีที่เปรียบเสมือนจุดตัดสำคัญ ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวนและปัจจัยภายในประเทศที่ท้าทาย การทำความเข้าใจทิศทางและกลยุทธ์ที่แม่นยำจึงเป็นหัวใจสำคัญในการอยู่รอดและเติบโตในธุรกิจนี้ หากมองย้อนกลับไปในช่วงปี 2566-2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้เผชิญกับคลื่นลมที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูง อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับน่าเป็นห่วง และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ปัจจัยเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง ทำให้หลายรายต้องเผชิญกับความท้าทายในการระบายสต็อกสินค้า การบริหารสภาพคล่อง และการปรับแผนธุรกิจครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ ปี 2568 ไม่ใช่ปีที่มืดมิดเสียทีเดียว แต่เป็นปีที่ต้องการ “สายตาที่เฉียบคม” และ “กลยุทธ์ที่แตกต่าง” จากผู้ประกอบการและนักลงทุน เพื่อค้นหา “ผู้ชนะตัวจริง” ในสมรภูมิที่ซับซ้อนนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ที่ไม่ได้วัดกันที่ขนาดหรือจำนวนโครงการอีกต่อไป หากแต่เป็นความสามารถในการปรับตัว การสร้างมูลค่าเพิ่ม และการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและซับซ้อนของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน: มองย้อนจาก 2566 สู่ 2567 และก้าวเข้าสู่ 2568
ปี 2566 ถือเป็นบทเรียนอันล้ำค่าสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การฟื้นตัวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังสถานการณ์โรคระบาดกลับไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้นจากความสามารถในการกู้ที่ลดลงของผู้บริโภค กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งยอดขายโครงการใหม่ ตลาดคอนโดมิเนียมโดยเฉพาะในพื้นที่ใจกลางเมืองที่เคยเป็นดาวเด่นก็เริ่มชะลอตัวลง ส่วนตลาดแนวราบ แม้จะยังคงเป็นที่ต้องการ แต่ก็ได้รับผลกระทบจากราคาที่ดินและต้นทุนการก่อสร้างที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การพัฒนาโครงการใหม่มีความท้าทายมากขึ้น
ก้าวเข้าสู่ปี 2567 สถานการณ์เริ่มมีสัญญาณการปรับตัว แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่นำมาซึ่งความหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้รวดเร็วทันใจอย่างที่ตลาดคาดหวัง นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจบางส่วนเริ่มส่งผลดีต่อกำลังซื้อในระยะสั้น แต่ปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ หนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง ยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญ ผู้ประกอบการหลายรายหันมาให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสต็อกสินค้า การนำเสนอโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ และการปรับกลยุทธ์การตลาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้ออย่างแท้จริง การแข่งขันในตลาดอสังหาฯ ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถประคองตัวและรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้
สำหรับปี 2568 เราคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก อาทิ ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ แต่จะมีปัจจัยภายในประเทศบางอย่างที่เริ่มส่งสัญญาณบวก เช่น แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจทรงตัวหรือปรับลดลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลที่เน้นการกระตุ้นการลงทุนและโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะเกิดขึ้นเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ที่เฉียบคม และความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว
ภูมิทัศน์ใหม่ของ “ผลประกอบการ” ในปี 2568: มากกว่าแค่ตัวเลข
ในอดีต เรามักจะวัดความสำเร็จของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จากตัวเลขรายได้รวม ยอดขาย และกำไรสุทธิที่เติบโต แต่สำหรับปี 2568 และบริบทตลาดในอนาคต นิยามของ “ผลประกอบการที่แท้จริง” จะซับซ้อนและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่การเติบโตของรายได้ แต่เป็น “คุณภาพของการเติบโต” และ “ความยั่งยืนของธุรกิจ”
บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จในปี 2568 จะต้องแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการ:
การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (Cost Efficiency): ในภาวะที่ต้นทุนที่ดิน วัสดุก่อสร้าง และแรงงานปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทที่สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างรัดกุม จะมีกำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งกว่า และมีความยืดหยุ่นในการตั้งราคาและนำเสนอโปรโมชั่น การใช้เทคโนโลยี PropTech (เทคโนโลยีอสังหาฯ) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการก่อสร้างและการบริหารจัดการโครงการจะมีความสำคัญมากขึ้น
การสร้างแหล่งรายได้ที่หลากหลาย (Diversified Income Streams): การพึ่งพารายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยงสูง บริษัทที่กระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่มีรายได้ประจำ (Recurring Income) เช่น อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า (สำนักงาน, รีเทล, โกดัง), โรงแรม, โรงพยาบาล, หรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในรูปแบบอื่น ๆ จะมีความมั่นคงทางการเงินมากกว่า
ความสามารถในการปรับพอร์ตโฟลิโออย่างรวดเร็ว (Agile Portfolio Management): ตลาดมีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัทที่สามารถปรับประเภทโครงการ กลุ่มเป้าหมาย หรือแม้กระทั่งทำเลการพัฒนาได้อย่างทันท่วงที จะสามารถคว้าโอกาสในตลาดได้ก่อน การลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์เทรนด์อนาคต เช่น ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Living) หรือโครงการที่เน้นความยั่งยืน (อสังหาฯ ยั่งยืน) จะเป็นกุญแจสำคัญ
การบริหารจัดการหนี้อย่างรอบคอบ (Prudent Debt Management): ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงผันผวน บริษัทที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำ มีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และมีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย จะได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถลงทุนในโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างมั่นใจ
การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ (Value Creation): การแข่งขันที่รุนแรงทำให้การสร้างความแตกต่างเป็นสิ่งจำเป็น การออกแบบที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เทคโนโลยีสมาร์ทโฮม ระบบบริหารจัดการพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างชุมชนที่น่าอยู่ ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มมูลค่าและสร้างความภักดีให้กับลูกค้าได้
ถอดรหัสผู้นำและผู้ท้าชิงแห่งปี 2568: นิยามใหม่ของ “ผู้ชนะตัวจริง”
ปี 2568 “ผู้ชนะตัวจริง” ไม่ใช่แค่บริษัทที่ทำยอดขายสูงสุด แต่คือบริษัทที่สามารถสร้างความยั่งยืนทางการเงิน สร้างสรรค์นวัตกรรม และปรับตัวเข้ากับภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดีที่สุด โดยผมขอแบ่งกลุ่ม “ผู้ชนะ” และ “ผู้ท้าชิง” ตามกลยุทธ์ที่น่าจับตา ดังนี้:
กลุ่ม “Titan ที่ปรับตัว” (The Adaptable Titans): บริษัทขนาดใหญ่ที่มีประสบการณ์และฐานะการเงินแข็งแกร่ง เช่น แสนสิริ, เอพี (ไทยแลนด์), ศุภาลัย และแลนด์แอนด์เฮ้าส์ พวกเขาเหล่านี้จะยังคงเป็นผู้เล่นหลักในตลาด แต่ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นความยืดหยุ่นและการกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหันไปพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น คอนโดมิเนียมหรู (Luxury Condominium) ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน หรือโครงการแนวราบในระดับราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable Housing) ที่เน้นทำเลศักยภาพและการเชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ พวกเขายังจะใช้ประโยชน์จากขนาดและความสามารถในการระดมทุนเพื่อลงทุนในเทคโนโลยีอสังหาฯ และสร้างอีโคซิสเต็มของธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
กลุ่ม “Niche Innovators” (ผู้สร้างนวัตกรรมเฉพาะทาง): บริษัทขนาดกลางถึงเล็กที่เชี่ยวชาญในตลาดเฉพาะทาง จะโดดเด่นขึ้นมาด้วยความคล่องตัวและการนำเสนอโครงการที่แตกต่างอย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น บริษัทที่เน้นการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ยั่งยืน (Sustainable Real Estate) หรืออาคารสีเขียว เพื่อตอบรับกับกระแส ESG (Environmental, Social, Governance) ที่กำลังมาแรง หรือบริษัทที่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น โครงการสำหรับผู้สูงอายุ, Co-living spaces, หรือโครงการที่เน้นเทคโนโลยีอัจฉริยะเต็มรูปแบบ (Smart Home Automation) การวิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ อย่างลึกซึ้ง และการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคจะทำให้กลุ่มนี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและหลีกเลี่ยงการแข่งขันโดยตรงกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
กลุ่ม “Diversified Powerhouses” (ผู้ขับเคลื่อนธุรกิจหลากหลาย): บริษัทที่มีการกระจายการลงทุนไปในหลายภาคส่วนของอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การขายโครงการที่อยู่อาศัย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ที่ไม่ได้เป็นเพียงผู้พัฒนาศูนย์การค้า แต่ยังเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โรงแรม และอาคารสำนักงาน ด้วยพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งและหลากหลาย ทำให้พวกเขาสามารถสร้างรายได้ประจำและมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับความผันผวนของตลาด การลงทุนอสังหาฯ ในรูปแบบมิกซ์ยูส (Mixed-use Development) ที่รวมที่อยู่อาศัย ร้านค้า สำนักงาน และพื้นที่ไลฟ์สไตล์เข้าไว้ด้วยกัน จะเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในปี 2568
เจาะลึกกลยุทธ์สร้างความได้เปรียบในตลาด 2568
เพื่อให้เป็น “ผู้ชนะตัวจริง” ในปี 2568 ผู้ประกอบการต้องพิจารณากลยุทธ์เหล่านี้:
การตลาดแบบ Hyper-Personalization: การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยี AI เพื่อทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และนำเสนอโครงการที่ตรงใจที่สุด รวมถึงการสื่อสารที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ: ไม่ใช่แค่การสร้างบ้าน แต่เป็นการสร้าง “ไลฟ์สไตล์” และ “ประสบการณ์” การนำเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมมาใช้ การออกแบบพื้นที่ที่ยืดหยุ่นเพื่อรองรับการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) หรือการทำกิจกรรมหลากหลาย และการพัฒนาบริการหลังการขายที่เหนือกว่าคู่แข่ง
การบริหารจัดการกระแสเงินสดและสภาพคล่อง: ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวน การมีเงินทุนสำรองที่เพียงพอ การบริหารจัดการหนี้ระยะสั้นและระยะยาวอย่างเหมาะสม และการหาแหล่งเงินทุนใหม่ๆ เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REITs) หรือการร่วมทุนกับพันธมิตร จะเป็นสิ่งสำคัญ
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืน: การออกแบบอาคารที่ประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานหมุนเวียน การจัดการขยะและน้ำเสียอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แค่ตอบโจทย์ด้านสังคม แต่ยังช่วยลดต้นทุนในระยะยาวและเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการ
การสร้าง Brand Royalty: ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การสร้างความภักดีในแบรนด์ผ่านคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และการบริการที่ยอดเยี่ยม จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
คลื่นลูกใหม่แห่งเทรนด์อสังหาฯ 2568 ที่ต้องจับตา
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองเห็นหลายเทรนด์ที่จะขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 และต่อจากนี้ไป:
ความยั่งยืนและอาคารสีเขียว (Sustainable and Green Buildings): กระแส ESG ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของนักลงทุนและผู้บริโภค การพัฒนาโครงการที่เน้นความยั่งยืน การได้รับการรับรองอาคารสีเขียว และการสื่อสารถึงประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จะเป็นจุดขายที่แข็งแกร่ง นี่คือหนึ่งในอสังหาฯ เพื่อการลงทุน ที่น่าสนใจมากที่สุด
PropTech และ Digital Transformation: เทคโนโลยีอสังหาฯ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทุกขั้นตอนของธุรกิจ ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลตลาด การออกแบบ การก่อสร้าง (เช่น BIM – Building Information Modeling) การตลาดและการขาย (VR/AR Showroom, AI Chatbot) ไปจนถึงการบริหารจัดการอาคาร (Smart Building Management) และการทำธุรกรรม (Blockchain for Property Deeds)
Mixed-Use Development ที่ครบวงจร: การพัฒนาโครงการที่รวมที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก สำนักงาน โรงแรม และพื้นที่สีเขียวเข้าไว้ด้วยกันในทำเลเดียวกัน จะยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบายและประหยัดเวลาในการเดินทาง
ตลาดเช่าและการอยู่อาศัยที่ยืดหยุ่น (Flexible Living and Rental Market): ด้วยความผันผวนทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ความต้องการที่อยู่อาศัยแบบเช่าระยะยาว (Long-term Rental), Co-living spaces, หรือ Serviced Apartments จะเติบโตขึ้น เนื่องจากมีความยืดหยุ่นและใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อยกว่าการซื้อ
การเติบโตของเมืองรองและการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน: โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาล เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และการขยายเส้นทางคมนาคม จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองรองและพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ๆ การลงทุนในตลาดที่ดิน บริเวณที่โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จะไปถึง จึงเป็นโอกาสที่น่าจับตา
ตลาดต่างชาติและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว: หากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและนโยบายการเปิดรับนักลงทุนต่างชาติมีความชัดเจนมากขึ้น กำลังซื้อจากต่างประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมหรู (Luxury Condominium) และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในเมืองท่องเที่ยวหลัก จะกลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้ง
มุมมองนักลงทุนอสังหาฯ ในปี 2568: โอกาสและความเสี่ยง
สำหรับนักลงทุน การลงทุนอสังหาฯ ในปี 2568 ต้องใช้ความระมัดระวังและข้อมูลที่รอบด้าน การประเมินมูลค่าอสังหาฯ อย่างแม่นยำและการวิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ อย่างลึกซึ้งเป็นสิ่งจำเป็น
โอกาส: ยังคงมีอยู่ในโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง (เช่น คอนโดมิเนียมหรู, ที่อยู่อาศัยระดับบนในทำเลทอง), อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่มีรายได้ประจำมั่นคง (เช่น โรงแรมขนาดเล็กในทำเลท่องเที่ยว, โกดังสินค้า, พื้นที่สำนักงานให้เช่าในทำเล CBD ที่มีอัตราการเข้าใช้สูง), หรือที่ดินในพื้นที่ที่ได้รับอานิสงส์จากโครงการโครงสร้างพื้นฐานและ EEC (เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก)
ความเสี่ยง: ยังคงต้องระวังเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่อาจผันผวน ภาวะอุปทานส่วนเกินในบางเซกเมนต์ (เช่น คอนโดมิเนียมบางทำเลที่ไม่มีความแตกต่าง) และกฎระเบียบใหม่ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด การลงทุนในโครงการที่ไม่ผ่านการศึกษาความเป็นไปได้หรือไม่มีความโดดเด่น อาจนำไปสู่ปัญหาสภาพคล่องได้
บทสรุปและก้าวต่อไป
ปี 2568 เป็นปีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังปรับสมดุลและสร้างนิยามใหม่ของความสำเร็จ “ผู้ชนะตัวจริง” จะไม่ใช่แค่ผู้ที่ทำยอดขายได้มากที่สุด แต่คือผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล กลยุทธ์ที่เฉียบคม สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว สร้างสรรค์นวัตกรรม และให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในทุกมิติของธุรกิจ ความเข้าใจในเทรนด์ใหม่ๆ การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ คือหัวใจสำคัญที่จะนำพาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ก้าวผ่านความท้าทายและคว้าโอกาสที่ซ่อนอยู่ในปีนี้ได้อย่างงดงาม
หากท่านกำลังมองหาคำแนะนำเชิงลึก หรือต้องการวางแผนกลยุทธ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด 2568 เพื่อสร้างความได้เปรียบที่ยั่งยืน ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมที่จะให้คำปรึกษาและแบ่งปันข้อมูลเชิงลึก เพื่อนำพาทุกการลงทุนของท่านสู่ความสำเร็จ.

