สถานการณ์น้ำท่วมใน จ.สตูล ที่ครอบคลุมทั้ง 7 อำเภอวันที่ 6 ล่าสุดมีการประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉินแล้ว โดยเช้านี้น้ำในตัวเทศบาลเมืองสตูลระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น บ้านเรือที่ถูกน้ำท่วมอยู่แล้วก็ท่วมขึ้นไปอีก ทำให้หลายครัวเรือนเดือดร้อนหนัก เนื่องจากมวลน้ำจากต้นน้ำบ้านโตนป่าหนัน ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จ.สตูล ยังมีน้ำมวลน้ำที่จะไหลลงมายังพื้นที่ด้านล่างที่อ.ละงูยังคงมีน้ำท่วมสูงย่านเศรษฐกิจร้านค้าต่าง ๆ ถูกน้ำท่วมหมด มีประชาชนในหลายพื้นที่ยังคงรอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่

ขณะที่การเร่งอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่น้ำท่วมในเขตเทศบาลเมืองสตูล นายสิทธิ์พงศ์ วงศ์เลิศศักดิ์ รองนายกเทศมนตรีเมืองสตูลพร้อมเจ้าหน้าที่ได้นำเรือท้องแบนออกเร่งอพยพชาวบ้านในพื้นที่ซอยเรือนไม้ เขตเทศบาลเมืองสตูล ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้ริมคลองระดับเพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ภายในบ้านไม่ได้ อพยพมายังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่เทศบาลจัดเตรียมไว้ เพื่อความปลอดภัย

ส่วนระดับน้ำในเขตเทศบาลเมืองสตูลระดับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงสถานที่ราชการอย่างศาลากลางจังหวัดสตูลแล้ว ย่านเศรษฐกิจร้านค้าปิดหลายแห่งร้านค้าต่าง ๆ อาหารเริ่มหมด ประชาชนมีการขาดแคลนน้ำดื่มและอาหาร เนื่องจากการเข้าช่วยเหลือที่ไม่ถึงพื้นที่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมด้วยกระแสน้ำที่เชียวแรงและการเข้าถึงลำบาก
สำหรับพื้นที่จ.สตูลน้ำท่วมครอบคลุมทั้ง 7 อำเภอ 28 ตำบล 195 หมู่บ้าน 12,447 ครัวเรือน 36,373 คน มีผู้บาดเจ็บ 1 รายเสียชีวิต 2 ราย
เจาะลึกตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568: ถอดรหัสความสำเร็จและโอกาสจากผู้เล่นตัวจริง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยที่มีประสบการณ์กว่าทศวรรษ ผมขอนำพาทุกท่านเข้าสู่การวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับภูมิทัศน์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 ซึ่งเป็นปีแห่งการพลิกโฉมและการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่เราได้เผชิญกับความท้าทายรอบด้านในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2566 ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นปีที่น่าผิดหวังต่อเนื่องจากภาวะชะลอตัวก่อนการเลือกตั้งใหญ่ และลากยาวมาจนถึงปี 2567 ที่ตลาดค่อยๆ ค้นหาสมดุลใหม่ท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่จำกัด บทความนี้จะถอดรหัสกลยุทธ์และผลประกอบการของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เพื่อฉายภาพอนาคตและโอกาสในการลงทุนที่น่าจับตาในปี 2568
ตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในเสาหลักที่สะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจของประเทศ ความผันผวนที่เราเห็นในปี 2566 และ 2567 ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขบนงบการเงิน แต่เป็นภาพสะท้อนของภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านพฤติกรรมผู้บริโภค นโยบายภาครัฐ และสภาพเศรษฐกิจมหภาค การทำความเข้าใจ “บทเรียน” จากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลประกอบการของ 41 บริษัทอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เคยมีการรวบรวมข้อมูลไว้ จะช่วยให้เราสามารถประเมินแนวโน้มและวางแผนสำหรับปี 2568 ได้อย่างมีวิสัยทัศน์
บทที่ 1: ทบทวนภูมิทัศน์อสังหาริมทรัพย์ไทย: จากความท้าทายสู่การปรับตัวในยุคใหม่
การเดินทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเต็มไปด้วยขวากหนาม ปี 2566 ถือเป็นปีที่ภาคธุรกิจนี้ต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจน รายได้รวมของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ 41 แห่งลดลงเล็กน้อยที่ -1.2% เมื่อเทียบกับปี 2565 สะท้อนถึงกำลังซื้อที่หดตัวและความระมัดระวังในการตัดสินใจซื้อ การที่ 25 ใน 41 บริษัทมีรายได้รวมลดลง แสดงให้เห็นถึงภาพรวมที่ยังไม่สดใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่พึ่งพารายได้จากการขายโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการรับรู้รายได้ หรือบริษัทที่มีสินค้าคงคลังในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มคอนโดมิเนียมระดับกลาง-ล่างในบางทำเล
ในขณะที่บางบริษัทเผชิญกับการติดลบของรายได้รวมในระดับ 20-28% อาทิ L.P.N. Development, Eastern Star Real Estate และ Country Group Development ที่เห็นตัวเลขติดลบราว -28% ขณะที่ Raimon Land ติดลบ -26%, Lalin Property -23%, Major Development -22% และ Siamese Asset -21% แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง Land & Houses ก็ยังต้องเผชิญกับรายได้รวมที่ลดลงถึง 18% สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ที่รวดเร็วและเด็ดขาด
สำหรับปี 2567 เราได้เห็นสัญญาณการปรับตัวที่เข้มข้นขึ้นจากผู้ประกอบการหลายราย มีการมุ่งเน้นไปที่โครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น บ้านเดี่ยวขนาดกลางในทำเลศักยภาพ คอนโดมิเนียมพรีเมียมที่ยังคงมีความต้องการจากกลุ่มกำลังซื้อสูง หรือโครงการที่เน้นดีไซน์และฟังก์ชันการใช้งานที่ยืดหยุ่นรองรับการทำงานแบบไฮบริด แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและหนี้ครัวเรือนที่ยังเป็นประเด็นใหญ่ จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อกำลังซื้อโดยรวม แต่การเปิดประเทศและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวก็เริ่มฉีดเม็ดเงินหมุนเวียนเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ และกระตุ้นความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในบางพื้นที่ โดยเฉพาะทำเลที่รองรับนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติ
บทที่ 2: เจาะลึกผลประกอบการ 2024: บทเรียนจากอดีต สู่กลยุทธ์ 2025
เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2568 การวิเคราะห์ผลประกอบการของปี 2567 จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยคาดการณ์ว่าภาพรวมของปี 2567 จะยังคงเป็นปีแห่งความท้าทายและเป็นบททดสอบกลยุทธ์ของผู้ประกอบการ แต่ก็เริ่มเห็นผู้เล่นที่สามารถปรับตัวและสร้างความแตกต่างได้ชัดเจนขึ้น จากข้อมูลพื้นฐานของปี 2566 ที่รายได้จากการขายรวมของทั้ง 41 บริษัทลดลงกว่า -11% สู่ 268,460 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ทำได้ 299,979 ล้านบาท และมีถึง 30 ใน 41 บริษัทที่รายได้จากการขายลดลงนั้น เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าการปรับโครงสร้างสินค้าและช่องทางการขายเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน
ในปี 2567 กลยุทธ์ที่หลายบริษัทนำมาใช้เพื่อรับมือกับสภาพตลาด ได้แก่:
การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management): ลดการเปิดโครงการใหม่ในกลุ่มสินค้าที่มีอุปทานล้นตลาด และเร่งระบายสต็อกเดิมด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูดใจ
การพัฒนาสินค้าให้ตรงจุด (Product Differentiation): มุ่งเน้นการสร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการเฉพาะกลุ่ม เช่น โครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainable Real Estate), บ้านเพื่อผู้สูงอายุ (Elderly Living) หรือบ้านที่รองรับเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Homes) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและพร้อมลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิต
การขยายฐานรายได้ (Diversification of Income): บริษัทหลายแห่งหันมาให้ความสำคัญกับรายได้จากธุรกิจเช่า บริการ หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากการขายเพียงอย่างเดียว
บริษัทที่สามารถรักษาระดับรายได้และผลกำไรได้ในปี 2567 มักเป็นบริษัทที่มีความยืดหยุ่นทางการเงิน มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และมีฐานลูกค้าประจำ นอกจากนี้ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
บทที่ 3: แชมป์เปี้ยนแห่งรายได้รวม 2024: ใครคือผู้ขับเคลื่อนตลาด?
แม้ปี 2566 แสนสิริจะคว้าตำแหน่งแชมป์รายได้รวมไปที่ 39,082 ล้านบาท เติบโต 12% เฉือน AP (Thailand) ไปเล็กน้อยที่ 38,399 ล้านบาท แต่ภาพรวมของปี 2567 และการก้าวเข้าสู่ปี 2568 นั้น ความสามารถในการรักษาระดับรายได้รวมจะขึ้นอยู่กับการปรับพอร์ตสินค้าและจังหวะการรับรู้รายได้
บริษัทที่มีแนวโน้มยังคงเป็นผู้ขับเคลื่อนตลาดในปี 2567-2568 และยังคงเป็น Top Tier ในด้านรายได้รวม ได้แก่:
แสนสิริ (Sansiri): คาดการณ์ว่าจะยังคงแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และการเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาระดับรายได้ให้เติบโต
เอพี (ไทยแลนด์) (AP (Thailand)): แม้ปี 2566 รายได้รวมจะติดลบเล็กน้อยไม่ถึง 1% แต่ด้วยความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการการขายที่ดีเยี่ยม คาดว่าจะยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำด้านรายได้รวม
ศุภาลัย (Supalai): ยังคงเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงไปในภูมิภาค และการพัฒนาโครงการในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งยังคงตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ทำให้สามารถประคองรายได้รวมไว้ได้ดี
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (Land & Houses): แม้ปี 2566 รายได้รวมลดลง 18% แต่ด้วยฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ รวมถึงรายได้จากธุรกิจให้เช่าและการลงทุนอื่นๆ จะยังคงช่วยประคองให้บริษัทอยู่ในกลุ่มผู้นำด้านรายได้รวมได้
พฤกษา โฮลดิ้ง (Pruksa Holding): มีการปรับโครงสร้างองค์กรและธุรกิจที่ชัดเจนขึ้น มุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมและโซลูชันเพื่อการอยู่อาศัย คาดว่าจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในการรักษาระดับรายได้
บริษัทอื่นๆ อย่าง SC Asset Corporation, Frasers Property (Thailand), Origin Property และ Central Pattana ก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด โดยเฉพาะ Central Pattana ที่เริ่มเก็บเกี่ยวรายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายมากขึ้น และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากพอร์ตโครงการที่หลากหลาย ทั้งศูนย์การค้า โรงแรม และโครงการที่อยู่อาศัย
บทที่ 4: ขีดความสามารถในการขาย: บทพิสูจน์ที่แท้จริงของความแข็งแกร่ง
รายได้จากการขายคือหัวใจสำคัญที่สะท้อนถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจและตอบสนองความต้องการของตลาด หากมองย้อนไปที่ปี 2566 AP (Thailand) ผงาดขึ้นเป็นอันดับ 1 ด้วยรายได้จากการขายรวม 36,927 ล้านบาท แซงหน้าแสนสิริที่ 32,829 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการสร้างยอดขาย
สำหรับปี 2567 และต่อเนื่องถึงปี 2568 คาดการณ์ว่าผู้เล่นที่ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำด้านยอดขายไว้ได้ มักจะเป็นผู้ที่มีกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง การบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่ยืดหยุ่น และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกเซ็กเมนต์
AP (Thailand): จะยังคงเป็นเจ้าตลาดด้านยอดขาย ด้วยความโดดเด่นในการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมในทำเลที่มีศักยภาพสูง รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเชิงลึกมาช่วยในการตัดสินใจด้านการตลาดและการขาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้จากการขายอย่างยั่งยืน
แสนสิริ (Sansiri): ด้วยการปรับกลยุทธ์ให้เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและตลาดต่างชาติ รวมถึงการนำเสนอโครงการที่หลากหลาย ตั้งแต่ระดับพรีเมียมไปจนถึงกลุ่มกลาง จะทำให้แสนสิริยังคงรักษาโมเมนตัมการขายได้ดี
ศุภาลัย (Supalai): การเน้นตลาดต่างจังหวัดและโครงการแนวราบที่ยังคงเป็นที่ต้องการ จะทำให้ศุภาลัยมียอดขายที่มั่นคงต่อเนื่อง
SC Asset Corporation: เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าจับตา เนื่องจากมีรายได้จากการขายที่เติบโตต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงการปรับกลยุทธ์การตลาดและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดี
พฤกษา โฮลดิ้ง (Pruksa Holding): ด้วยฐานลูกค้าที่กว้างขวางและการปรับปรุงกระบวนการขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คาดว่าจะช่วยพยุงยอดขายให้กลับมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
การที่ Raimon Land มีรายได้จากการขายลดลงสูงถึง -78% และ L.P.N. Development ลดลงเกือบ -40% ในปี 2566 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการพึ่งพารายได้จากโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาก่อสร้างนาน หรือการมีสินค้าคงคลังที่ไม่ตอบโจทย์ตลาดอาจนำไปสู่ความท้าทายอย่างยิ่ง
บทที่ 5: กำไรสุทธิ: หัวใจของการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน
ท้ายที่สุดแล้ว กำไรสุทธิคือบทพิสูจน์ที่แท้จริงของความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ หากมองย้อนไปที่ปี 2566 กำไรสุทธิรวมของทั้ง 41 บริษัทลดลง -11% เหลือ 44,165 ล้านบาท และมีถึง 12 บริษัทที่ขาดทุนต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันด้านต้นทุนและอัตรากำไรที่ลดลง
ในปี 2567 และ 2568 บริษัทที่จะเป็น “ผู้ชนะตัวจริง” คือผู้ที่สามารถสร้างกำไรสุทธิได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ไม่ใช่แค่ยอดขายที่สูงเพียงอย่างเดียว
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (Land & Houses): ยังคงเป็นแชมป์ด้านกำไรสุทธิในปี 2566 ด้วย 7,495 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนในภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย สำหรับปี 2567-2568 คาดการณ์ว่า Land & Houses จะยังคงรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรได้ดี ด้วยการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด รายได้จากธุรกิจให้เช่าที่มั่นคง และการพัฒนาโครงการคุณภาพสูงที่ยังคงมีดีมานด์จากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ศุภาลัย (Supalai): ทำกำไรได้ 6,083 ล้านบาทในปี 2566 คาดการณ์ว่าจะยังคงรักษาอัตรากำไรได้ดี จากการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และการดำเนินงานที่เน้นความรอบคอบ
AP (Thailand): มีกำไร 6,054 ล้านบาทในปี 2566 ด้วยความสามารถในการสร้างยอดขายที่แข็งแกร่งและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม คาดว่าจะยังคงอยู่ในกลุ่มผู้นำด้านกำไรสุทธิ
แสนสิริ (Sansiri): กำไรสุทธิ 5,846 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 42% ในปี 2566 สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างทางการเงินและการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ สำหรับปี 2567-2568 คาดว่า Sansiri จะยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตของกำไรได้ดีจากการบริหารพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (Origin Property): แม้กำไรจะลดลง -25% ในปี 2566 แต่ด้วยกลยุทธ์การกระจายธุรกิจสู่ Hotel & Service Apartment และการรุกตลาด Pet-Friendly Condominium ซึ่งเป็น Niche Market ที่มีศักยภาพ คาดว่าจะช่วยหนุนกำไรในระยะยาว
นอกจากนี้ Central Pattana ที่มีกำไรสุทธิ 1,610 ล้านบาทในปี 2566 และมีอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายสูงถึง 103% จะเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่น่าจับตาในด้านกำไรสุทธิในปี 2567-2568 ด้วยการผสานพลังของธุรกิจศูนย์การค้า โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายอย่างลงตัว
บทที่ 6: แนวโน้มและโอกาสในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568
ปี 2568 จะเป็นปีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเข้าสู่ช่วงของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดดังนี้:
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว: การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและสภาพคล่องในตลาด นอกจากนี้ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในกลุ่มโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในแหล่งท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคัก
เทรนด์ความยั่งยืนและ PropTech: ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainable Real Estate) และประหยัดพลังงานมากขึ้น บริษัทที่นำเทคโนโลยี PropTech มาใช้ในการออกแบบ การก่อสร้าง การขาย และการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ เช่น ระบบ Smart Home, AI-powered Property Management จะได้เปรียบในการแข่งขัน การทำตลาด อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน จะเป็นจุดแข็งที่สำคัญ
การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน: โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและโครงข่ายคมนาคมอื่นๆ ยังคงเป็นปัจจัยหลักในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินและโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวเส้นทาง ทำให้ ราคาที่ดิน ในทำเลศักยภาพยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
กลุ่มกำลังซื้อสูงและตลาดเฉพาะ: ตลาด อสังหาริมทรัพย์พรีเมียม และซูเปอร์ลักชัวรียังคงมีความต้องการต่อเนื่องจากกลุ่มกำลังซื้อสูงทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น โครงการสำหรับผู้สูงอายุ (Aging Society) และบ้านที่รองรับสัตว์เลี้ยง (Pet-Friendly Homes) จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
นโยบายรัฐที่เอื้อต่อการซื้อ: หากภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นที่ชัดเจน เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง การผ่อนคลายหลักเกณฑ์ สินเชื่อบ้าน หรือการสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยกระตุ้น การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และการตัดสินใจซื้อได้ดียิ่งขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค: ความต้องการพื้นที่ที่ยืดหยุ่นรองรับการทำงานแบบ Hybrid Work การให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางและ Well-being จะเป็นปัจจัยในการออกแบบและพัฒนาโครงการในอนาคต
กลยุทธ์อสังหาฯ ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2568 คือการมีข้อมูลเชิงลึกในการ วิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ ที่แม่นยำ การสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิทัลในการเข้าถึงลูกค้าและสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่า
บทสรุป: ก้าวสู่ยุคใหม่แห่งโอกาส
ปี 2568 จึงเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงและโอกาสสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ผู้ประกอบการที่สามารถถอดบทเรียนจากปี 2566 และ 2567 ปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับ เทรนด์อสังหาฯ 2568 ที่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี ความยั่งยืน หรือการตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่ม จะเป็นผู้ที่คว้าชัยชนะในตลาดนี้ไปได้ ความยืดหยุ่น นวัตกรรม และความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อมั่นว่าผู้ที่มีวิสัยทัศน์และการปรับตัวที่รวดเร็วจะสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสในการสร้าง ผลตอบแทนอสังหาฯ ที่โดดเด่น และก้าวขึ้นเป็นผู้นำในยุคใหม่ของอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างแท้จริง
หากคุณคือผู้ที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุน หรือต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในปี 2568 เพื่อปลดล็อกศักยภาพสูงสุดในตลาดที่กำลังฟื้นตัวนี้ อย่ารอช้าที่จะติดต่อเรา เราพร้อมเป็นที่ปรึกษาเพื่อนำพาทุกท่านสู่ความสำเร็จในโลกของอสังหาริมทรัพย์ไปด้วยกัน

