ปภ. รายงานสรุปสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ 9 จังหวัด ระดับน้ำลดลงทุกพื้นที่ เร่งฟื้นฟูพื้นที่ภายหลังน้ำลด ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,143,364 ครัวเรือน 3,174,404 คน
วันที่ 29 พ.ย. 68 เวลา 10.30 น. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานสรุปสถานการณ์อุทกภัย 9 จังหวัดภาคใต้ หลายพื้นที่น้ำลดลงแล้ว โดย ปภ. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประสานการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่องและเร่งฟื้นฟูพื้นที่เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 29 พ.ย. 68 เวลา 06.00 น.) ยังมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กินพื้นที่ 97 อำเภอ 656 ตำบล 4,585 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,143,364 ครัวเรือน 3,174,404 คน ดังนี้
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ยังมีสถานการณ์ในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ ท่าฉาง กาญจนดิษฐ์ เคียนซา พระแสง เมืองฯ เวียงสระ และบ้านนาสาร 37 ตำบล 254 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 16,891 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง
จังหวัดนครศรีธรรมราช ยังมีสถานการณ์ในพื้นที่ 20 อำเภอ ได้แก่ ชะอวด เมืองฯ ท่าศาลา พรหมคีรี ร่อนพิบูลย์ นาบอน ฉวาง ทุ่งสง เฉลิมพระเกียรติ หัวไทร ลานสกา บางขัน พระพรหม ช้างกลาง ปากพนัง จุฬาภรณ์ ทุ่งใหญ่ พิปูน เชียรใหญ่ และถ้ำพรรณรา 148 ตำบล 1,335 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 233,787 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง

จังหวัดตรัง ยังมีสถานการณ์ในพื้นที่ 9 อำเภอ ได้แก่ นาโยง ห้วยยอด รัษฎา ย่านตาขาว วังวิเศษ กันตัง เมืองฯ สิเภา และปะเหลียน 64 ตำบล 423 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 16,092 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง
จังหวัดพัทลุง ยังมีสถานการณ์ในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ เมืองฯ ควนขนุน เขาชัยสน บางแก้ว และปากพะยูน 12 ตำบล 33 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 152 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง
จังหวัดสตูล ยังมีสถานการณ์ในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ ควนโดน ละงู ท่าแพ มะนัง ควนกาหลง เมืองฯ และทุ่งหว้า 31 ตำบล 229 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 30,162 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง
จังหวัดสงขลา ยังมีสถานการณ์ในพื้นที่ 16 อำเภอ ได้แก่ รัตภูมิ เมืองฯ จะนะ คลองหอยโข่ง ระโนด กระแสสินธุ์ สทิงพระ หาดใหญ่ ควนเนียง นาทวี สิงหนคร นาหม่อม บางกล่ำ สะเดา เทพา และสะบ้าย้อย 127 ตำบล 992 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 543,768 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง

จังหวัดปัตตานี ยังมีสถานการณ์ในพื้นที่ 12 อำเภอ ได้แก่ สายบุรี แม่ลาน โคกโพธิ์ มายอ ยะรัง ไม้แก่น ยะหริ่ง ปะนาเระ ทุ่งยางแดง กะพ้อ หนองจิก และเมืองฯ 115 ตำบล 648 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 192,503 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง
จังหวัดยะลา ยังมีสถานการณ์ในพื้นที่ 8 อำเภอ ได้แก่ เมืองฯ รามัน เบตง บันนังสตา ธารโต กรงปินัง ยะหา และกาบัง 54 ตำบล 332 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 59,878 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง
จังหวัดนราธิวาส ยังมีสถานการณ์ในพื้นที่ 13 อำเภอ ได้แก่ บาเจาะ ยี่งอ เมืองฯ ระแงะ ตากใบ สุไหงปาดี ศรีสาคร รือเสาะ สุไหงโก-ลก เจาะไอร้อง สุคิริน จะแนะ และแว้ง 67 ตำบล 336 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 45,307 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลง
เปิดกลยุทธ์พิชิตตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568: ถอดบทเรียนจากผู้นำ พลิกวิกฤตสู่โอกาสทอง
ปี 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยต้องเผชิญกับพลวัตตลาดที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ปี 2566 จบลงด้วยความผิดหวังจากภาวะชะลอตัวที่ต่อเนื่อง และลากยาวมาถึงปี 2567 ที่ตลาดยังคงอยู่ในโหมดระมัดระวัง ผู้ประกอบการในทุกระดับต่างต้องประเมินสถานการณ์อย่างถ้วนถี่ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างเฉียบคมเพื่อคว้าโอกาสที่ซ่อนอยู่ในความท้าทาย ภายใต้ภูมิทัศน์เศรษฐกิจมหภาคที่ยังคงผันผวน ทั้งจากแรงกดดันด้านอัตราดอกเบี้ยที่สูง หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และกำลังซื้อที่เปราะบาง การทำความเข้าใจ “บทเรียนจากปีที่ผ่านมา” จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันใน “ปีแห่งการปรับตัว” อย่าง 2568
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตและวิเคราะห์ผลลัพธ์จากผู้ประกอบการชั้นนำ 41 รายที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นกระจกสะท้อนภาพรวมและแนวโน้มที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2566 และต่อเนื่องมาจนถึงการคาดการณ์ในปี 2568 เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความสำเร็จในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่การสร้างยอดขาย แต่คือการสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ” ที่แข็งแกร่ง และการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง
ปัจจัยมหภาคขับเคลื่อนและฉุดรั้งตลาดอสังหาฯ ปี 2568: ภาพรวมเศรษฐกิจและผลกระทบ
ปี 2568 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยยังคงขับเคลื่อนด้วยภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แรงขับเคลื่อนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนใน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ การขยายตัวของระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะยังคงเป็นตัวแปรหลักในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินและโครงการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้า แต่กระนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูง หรืออาจปรับลดลงอย่างช้าๆ จะยังคงเป็นภาระต่อ ต้นทุนทางการเงิน ของผู้ประกอบการและภาระผ่อนชำระของผู้บริโภค ขณะที่ หนี้ครัวเรือน ที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จำกัด กำลังซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงน้อย
นอกจากนี้ นโยบายภาครัฐด้านอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และการกระตุ้นการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ จะมีบทบาทสำคัญในการประคองและขับเคลื่อนตลาดในบางเซ็กเมนต์ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจีน จะส่งผลต่อการกลับมาของ กำลังซื้อชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความหวังของตลาด คอนโดมิเนียมหรู และ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในเมืองท่องเที่ยวและพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ
เจาะลึกผลประกอบการ: บทเรียนจากปีที่ผ่านมา สู่การสร้างภูมิคุ้มกันปี 2568
การวิเคราะห์ผลประกอบการของ 41 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในปี 2566 ได้มอบบทเรียนอันล้ำค่าสำหรับการวางแผนในปี 2568 ซึ่งแม้ว่าข้อมูลที่เรามีจะเป็นของปี 2566 แต่เราสามารถใช้เป็นฐานในการคาดการณ์แนวโน้มและกลยุทธ์ที่จำเป็นสำหรับตลาดในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตลาดปี 2567 ยังคงเผชิญความท้าทายคล้ายกัน
ภาพรวมรายได้รวม: การเติบโตที่ไม่เท่ากัน ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนไป
ในปี 2566 รายได้รวมของบริษัทอสังหาฯ ทั้ง 41 รายปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ -1.2% สะท้อนถึงการเติบโตที่ไม่สม่ำเสมอ โดยมีบริษัทถึง 25 แห่งจาก 41 แห่ง ที่มีรายได้รวมลดลงอย่างมีนัยยะ ผู้ประกอบการหลายรายเผชิญกับรายได้ที่ติดลบในหลัก 20% ขึ้นไป อาทิ LPN Development, Eastern Star Real Estate และ Country Group Development ที่ลดลงราว -28% รวมถึง Raimon Land ที่ลดลง -26% แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของบางบริษัทที่พึ่งพารายได้จากการขายโครงการขนาดใหญ่ หรือมีสินค้าคงค้างในตลาดมากเกินไป
ในทางตรงกันข้าม แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง Land & Houses, AP (Thailand), Supalai, Pruksa Holding และ Origin Property ก็ยังเห็นการลดลงของรายได้รวมในปีนั้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแม้แต่ผู้เล่นรายใหญ่ก็มิอาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาวะตลาดได้ทั้งหมด แต่หากมองไปยังปี 2568 บริษัทเหล่านี้จะกลับมาแข็งแกร่งขึ้นด้วยกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง การบริหารจัดการต้นทุน และการปรับผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น
สำหรับปี 2568 บริษัทที่ยังคงสามารถสร้าง รายได้รวม ที่เติบโตได้ จะเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการปรับตัวสูง มีการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เช่น โรงแรม ศูนย์การค้า หรือพื้นที่ให้เช่า และมีโมเดลธุรกิจที่ยืดหยุ่นพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาด นี่คือกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้าง Resilience อสังหาฯ ให้กับองค์กรในระยะยาว
ขุมกำลังแห่งยอดขาย: ตัวชี้วัดที่แท้จริงของตลาด
หากพิจารณาเฉพาะ รายได้จากการขาย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สะท้อนถึงกำลังซื้อและการตอบรับของตลาดในปี 2566 พบว่ายอดรวมลดลงอย่างน่ากังวลถึง -11% โดยมีถึง 30 บริษัทจาก 41 แห่งที่มียอดขายลดลงอย่างมีนัยยะ การลดลงอย่างมากของบางบริษัท เช่น Raimon Land (-78%) และ Land & Houses (-38%) ชี้ให้เห็นว่าแม้แต่แบรนด์ที่แข็งแกร่งก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการปิดการขาย
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงอันดับใน Top 10 บริษัทที่มีรายได้จากการขายสูงสุด ในปี 2566 ได้ให้บทเรียนที่ชัดเจนสำหรับปี 2568 โดย AP (Thailand) กลับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดขาย 36,927 ล้านบาท ซึ่งถึงแม้จะลดลงเล็กน้อยที่ -2% แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาฐานลูกค้าและการบริหารพอร์ตสินค้าที่แข็งแกร่ง การที่ AP สามารถสร้างยอดขายได้โดดเด่นในกลุ่ม บ้านเดี่ยว และ ทาวน์โฮม ถือเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในการตอบรับความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบที่ยังคงเติบโต
สำหรับปี 2568 กลยุทธ์ด้าน การขายอสังหาริมทรัพย์ จะต้องเน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง การตลาดดิจิทัลที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ และการมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า การเติบโตของยอดขายจะมาจากบริษัทที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพฤติกรรมผู้บริโภค การออกแบบที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ (เช่น Work-from-Home friendly spaces, พื้นที่สีเขียว) และการนำเสนอโซลูชั่นทางการเงินที่ยืดหยุ่นเพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อบ้านได้ง่ายขึ้น
SC Asset และ Sansiri เป็นอีกสองบริษัทที่น่าจับตามองในแง่ของการเติบโตด้านยอดขายในปี 2566 ด้วยอัตราการเติบโต 13% และ 7% ตามลำดับ สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวและจับตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขายังคงเป็นผู้เล่นหลักในการขับเคลื่อน ตลาดคอนโดมิเนียม และ ตลาดบ้านหรู ในปี 2568
ที่น่าจับตาคือ Central Pattana ที่มีรายได้จากการขายพุ่งสูงถึง 103% ในปี 2566 จากการเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตจากโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายหลายแห่ง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกลุ่มทุนค้าปลีกในการรุกเข้าสู่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการสร้าง โครงการเมกะโปรเจกต์ แบบมิกซ์ยูสที่ครบวงจร ซึ่งจะเป็นเทรนด์สำคัญที่สร้างความแตกต่างและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในปี 2568
กำไรสุทธิ: หัวใจสำคัญของการอยู่รอดในระยะยาว
แม้จะขายเก่งแค่ไหน หากไม่มี กำไรสุทธิ ที่ดี ก็ย่อมไม่ถือเป็นผู้ชนะตัวจริง ในปี 2566 กำไรสุทธิรวมของ 41 บริษัทลดลง -11% และมีบริษัทกว่า 12 แห่งที่ขาดทุนต่อเนื่องหลายปี สะท้อนให้เห็นว่าการบริหารต้นทุนและประสิทธิภาพในการดำเนินงานเป็นสิ่งท้าทายอย่างยิ่ง
Land & Houses ยังคงยืนหนึ่งด้านกำไรสุทธิด้วยตัวเลข 7,495 ล้านบาทในปี 2566 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการขายสินทรัพย์ (โรงแรม) เข้ากองทุน แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การสร้างกำไรที่หลากหลาย ไม่ได้พึ่งพาเพียงยอดขายหลักเท่านั้น แนวทางนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับปี 2568 ในการสร้าง ความยืดหยุ่นทางการเงิน และการเพิ่มมูลค่าจากสินทรัพย์ที่มีอยู่
Supalai และ AP (Thailand) ตามมาติดๆ ด้วยกำไรกว่า 6,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืนจากยอดขายที่แข็งแกร่งและ การบริหารจัดการต้นทุน ที่มีประสิทธิภาพ ส่วน Sansiri ที่มีกำไรสุทธิเติบโตก้าวกระโดดถึง 42% ในปี 2566 สะท้อนถึงการพลิกฟื้นและผลลัพธ์จากการเร่งระบายสต็อกและปรับกลยุทธ์การขายที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเป็นแรงส่งสำคัญในการทำกำไรในปี 2568
สำหรับปี 2568 ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จด้าน ผลกำไร จะไม่ใช่แค่ผู้ที่มียอดขายสูง แต่จะเป็นผู้ที่สามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้าง ต้นทุนการเงิน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการเลือกทำเลทองและประเภทโครงการที่ตอบโจทย์ตลาดอย่างแท้จริง รวมถึงการบริหารพอร์ตสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การสร้าง รายได้ค่าเช่า หรือการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนระยะยาว
ผู้เล่นหลักในสมรภูมิอสังหาฯ 2568: ใครคือผู้กำหนดทิศทาง?
เมื่อมองไปยังปี 2568 ผู้เล่นหลักในตลาด อสังหาริมทรัพย์ไทย ยังคงเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีประสบการณ์และความแข็งแกร่งทางการเงิน แต่บทบาทและกลยุทธ์ของแต่ละรายจะมีความน่าสนใจแตกต่างกันไป
Land & Houses: แม้รายได้จากการขายจะผันผวน แต่ความสามารถในการสร้างกำไรจากสินทรัพย์อื่น ๆ และการมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ทำให้พวกเขายังคงเป็นเสาหลักที่มั่นคง การลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า และการสร้าง กระแสเงินสดจากสินทรัพย์ จะยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับปี 2568
AP (Thailand): พิสูจน์แล้วว่าเป็น “เบอร์ 1 ด้านยอดขาย” ในปี 2566 โดยเฉพาะกลุ่มบ้านแนวราบ การเน้น อสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว และ ทาวน์โฮม ในทำเลที่เข้าถึงง่ายและคุ้มค่า จะยังคงเป็นจุดแข็งสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขายและกำไรในปี 2568
Sansiri: การเติบโตของกำไรอย่างก้าวกระโดดในปี 2566 แสดงถึงความสำเร็จในการพลิกฟื้นและปรับกลยุทธ์ การทำการตลาดที่เข้าถึงง่าย การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบ จะทำให้ Sansiri ยังคงเป็นผู้เล่นที่ร้อนแรงในตลาดปี 2568
Supalai: เป็นบริษัทที่มีเสถียรภาพทั้งในด้านยอดขายและกำไร การมุ่งเน้นตลาดกลางถึงบน การบริหารจัดการต้นทุนที่ดีเยี่ยม และการขยายตลาดไปยังภูมิภาค จะเป็นรากฐานสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันในปี 2568
SC Asset: การเติบโตทั้งยอดขายและกำไรในปี 2566 สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวและจับตลาด อสังหาริมทรัพย์ระดับกลางถึงบน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่มจะยังคงเป็นจุดเด่น
Origin Property: แม้กำไรจะลดลงเล็กน้อยในปี 2566 แต่การเป็นผู้นำด้าน คอนโดมิเนียม ในหลากหลายเซ็กเมนต์ และการขยายพอร์ตไปยัง อสังหาริมทรัพย์มิกซ์ยูส จะยังคงเป็นกลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่างในตลาดปี 2568
Central Pattana: การก้าวเข้ามาในตลาด อสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย อย่างเต็มตัวด้วยโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ทำให้ Central Pattana เป็นผู้เล่นที่น่าจับตาอย่างยิ่งในการสร้าง ทำเลทอง ใหม่ๆ และดึงดูดกำลังซื้อด้วย Ecosystem ที่ครบวงจร
เทรนด์พลิกเกมและโอกาสทองในตลาดอสังหาฯ ปี 2568
ปี 2568 จะเป็นปีที่ผู้ประกอบการต้องมองให้ไกลกว่าแค่การสร้างและขาย แต่ต้องเข้าใจถึง แนวโน้มอสังหาฯ 2568 ที่กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างชัดเจน
การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development/ESG): ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน การออกแบบที่ประหยัดพลังงาน และวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น นี่คือโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มและตอบสนองความต้องการของตลาดที่เติบโต
เทคโนโลยี PropTech และ Smart Living: ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันอสังหาฯ ไม่ใช่แค่ทางเลือกแต่เป็นสิ่งจำเป็น การนำเทคโนโลยี AI, IoT, Big Data มาใช้ในการออกแบบ การตลาด การขาย และการบริหารจัดการโครงการ ตั้งแต่ Smart Home ไปจนถึง Smart City จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับผู้อยู่อาศัย
การตอบรับความต้องการเฉพาะกลุ่ม (Niche Market Responsiveness): การพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ แบบ Mass Market อาจไม่เพียงพออีกต่อไป การเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น อสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุ, Co-living/Co-working spaces, Pet-Friendly Condos หรือบ้านที่มีพื้นที่ทำงานโดยเฉพาะ จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในตลาด
อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ (Health & Elderly Real Estate): สังคมสูงวัยของไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โครงการที่อยู่อาศัยที่ออกแบบมาเพื่อรองรับผู้สูงอายุ พร้อมบริการด้านสุขภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสม จะเป็น โอกาสอสังหาฯ 2568 ที่สำคัญ
การฟื้นตัวของกำลังซื้อต่างชาติ (Foreign Buyer Recovery): หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โดยเฉพาะจากจีนและกลุ่มประเทศตะวันตก ต่างชาติซื้ออสังหาฯ ในไทยจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะในตลาด คอนโดมิเนียมหรู ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยว ผู้ประกอบการที่พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานสากลและช่องทางการตลาดต่างประเทศจะได้รับประโยชน์
โครงการเมกะโปรเจกต์และโครงสร้างพื้นฐาน: การลงทุนใน โครงสร้างพื้นฐาน ขนาดใหญ่ของภาครัฐ ทั้งรถไฟความเร็วสูงและโครงการพัฒนาพื้นที่ EEC จะยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนและสร้างดีมานด์ให้กับ อสังหาริมทรัพย์ ในพื้นที่เหล่านั้น การจับตา ทำเลทอง ตามแนวโครงข่ายคมนาคมใหม่ๆ เป็นสิ่งสำคัญ
ความท้าทายที่รออยู่และกลยุทธ์รับมือ
แม้จะมีโอกาส แต่ปี 2568 ก็ยังคงเต็มไปด้วย ความท้าทายอสังหาฯ ที่ต้องเฝ้าระวัง:
อัตราดอกเบี้ยสูงและหนี้ครัวเรือน: ยังคงเป็นแรงกดดันหลักต่อกำลังซื้อ ผู้ประกอบการต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยลดภาระดอกเบี้ย หรือมีแพ็คเกจทางการเงินที่น่าสนใจ
ต้นทุนที่ดินและการก่อสร้าง: ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จะบีบอัตรากำไร ผู้ประกอบการต้องพิจารณาการบริหารจัดการต้นทุนอย่างรอบคอบ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีก่อสร้างใหม่ๆ
ภาวะ Supply Overhang ในบางพื้นที่/บางเซ็กเมนต์: โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมบางทำเล การทำวิจัยตลาดเชิงลึกก่อนการพัฒนาโครงการจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
การแข่งขันที่รุนแรง: ทั้งจากผู้เล่นรายเดิมและรายใหม่ รวมถึงกลุ่มทุนต่างชาติที่สนใจ ลงทุนอสังหาฯ ในไทย การสร้างความแตกต่างและมูลค่าเพิ่มจึงเป็นสิ่งจำเป็น
สำหรับ กลยุทธ์อสังหาฯ ในปี 2568 ผู้ประกอบการต้องเน้น “ความยืดหยุ่นและความเร็ว” ในการปรับตัว การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการตัดสินใจ (Data-Driven Decision Making) จะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ การมีพอร์ตสินค้าที่หลากหลายและตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ จะเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวผ่านปีที่ท้าทายนี้ไปได้
บทสรุปและเส้นทางสู่ความสำเร็จในอนาคต
ปี 2568 ไม่ใช่ปีที่ง่ายสำหรับ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย แต่ก็ไม่ใช่ปีที่ไร้ซึ่งโอกาส ภายใต้ความท้าทายทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่จำกัด ผู้ประกอบการที่สามารถถอดบทเรียนจากปี 2566 และ 2567 ที่ผ่านมาได้อย่างลึกซึ้ง จะเป็นผู้ที่สามารถปรับตัวและพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ การลงทุนในนวัตกรรม การให้ความสำคัญกับความยั่งยืน การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม และการบริหารจัดการองค์กรด้วยความรัดกุมและรอบคอบ จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้าง การเติบโตอสังหาริมทรัพย์ ที่ยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาว
ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง การเป็นผู้เล่นที่ “รู้จักตัวเอง รู้จักตลาด” และ “พร้อมปรับเปลี่ยน” เท่านั้นที่จะอยู่รอดและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว นี่คือปีที่ผู้ที่เตรียมพร้อมและมีวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมเท่านั้นที่จะสามารถคว้าชัยชนะในสมรภูมิ อสังหาริมทรัพย์ อันดุเดือดนี้ไปได้
ก้าวข้ามทุกความท้าทายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ไปพร้อมกับเรา! หากคุณต้องการเจาะลึกข้อมูลเชิงกลยุทธ์ การวิเคราะห์ตลาดเฉพาะด้าน หรือคำปรึกษาเพื่อวางแผนพัฒนาโครงการของคุณให้ประสบความสำเร็จในยุคใหม่นี้ โปรดติดต่อเราเพื่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จริงในวงการอสังหาริมทรัพย์กว่า 10 ปี เราพร้อมเป็นพันธมิตรเพื่อความสำเร็จของคุณ

