อุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย ดำเนินมาตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 จนถึงปัจจุบัน (27 พ.ย. 68) ส่งผลกระทบในหลายจังหวัด อาทิ สงขลา พัทลุง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ทำให้ประชาชนหลายครอบครัวได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก
ล่าสุดเมื่อวานนี้ (26 พ.ย. 68) แอกเคานต์ BamBam Thailand ในแพลตฟอร์ม X ได้ออกมาแจ้งให้แฟน ๆ ของศิลปินเกาหลีสายเลือดไทยอย่าง แบมแบม – กันต์พิมุกต์ ภูวกุล หรือ แบมแบม GOT7 ทราบว่า ทางบ้านแฟนคลับได้ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ รวมเป็นเงิน 150,000 บาท

โดยในแคปชันเขียนไว้ว่า “พวกเราแฟนคลับแบมแบมไทยแลนด์ขอร่วมส่งกำลังใจให้พี่น้องชาวใต้ที่ประสบอุทกภัยทุกท่าน ขอให้สถานการณ์ดีขึ้นในเร็ววัน โดยขอบริจาคในนาม แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล ให้กับ สภากาชาดไทย , มูลนิธิองค์กรทำดี และมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ที่ละ 50,000 บาท”
โดยในกลุ่มเฟซบุ๊ก BamBam1A กลุ่มแฟนคลับของ แบมแบม ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า “ทางบ้านแบมแบมไทยแลนด์ได้นำเงินโดเนทของแฟน ๆ ทุกคนจำนวน 150,000 บาทที่เหลือจากโปรเจกต์บ้านเกิดน้องแบมไปบริจาคแล้วนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ร่วมโดเนทในครั้งนี้ ขอให้พี่น้องชาวใต้ปลอดภัย สาธุ”
ขณะที่ บุ๋ม ปนัดดา ได้โพสต์ข้อความว่า “บ้านแฟนคลับแบมแบมไทยแลนด์ ขอร่วมส่งกำลังใจให้พี่น้องชาวใต้ที่ประสบอุทกภัยทุกท่าน ขอให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ในเร็ววันค่ะ โดยบริจาคในนาม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล (BamBam) ให้กับ 3 องค์กร คือ สภากาชาดไทย , มูลนิธิองค์กรทำดี และ มูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ รวมทั้งสิ้น 150,000 บาท บุ๋มและทีมงานขอบคุณมาก ๆ นะคะ” .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน
เจาะลึกอนาคตอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568: ถอดบทเรียนความท้าทาย สู่โอกาสทองในการลงทุนยุคใหม่
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมเฝ้าสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ตั้งแต่ยุครุ่งเรือง เฟื่องฟู ไปจนถึงช่วงเวลาแห่งความผันผวนและความท้าทายหลายต่อหลายครั้ง บทเรียนสำคัญที่เราได้รับจากปี 2566 และ 2567 ที่ผ่านมา ทำให้เราต้องหันกลับมาประเมินกลยุทธ์และทำความเข้าใจบริบทของตลาดที่กำลังเข้าสู่ปี 2568 อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตลาดที่เคยถูกคาดหวังว่าจะกลับมา “Take off” อย่างแข็งแกร่งในช่วงปลายปี 2565 กลับต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัวต่อเนื่องยาวนาน ความไม่แน่นอนทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งใหญ่ ตลอดจนปัจจัยมหภาคทั้งภายในและภายนอกประเทศ ล้วนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้แม้แต่ช่วงฤดูขายในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนก็ยังไม่สามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ได้อย่างที่หลายฝ่ายตั้งความหวังไว้
ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ณ ปี 2568 กำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ซับซ้อนและท้าทาย แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ที่มองเห็นเทรนด์และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์, การพัฒนาโครงการใหม่, หรือแม้แต่การหาบ้านในฝัน บทความนี้จะพาท่านเจาะลึกถึงภาพรวมของตลาด, ถอดบทเรียนจากอดีต, วิเคราะห์กลยุทธ์ของผู้นำในตลาด, และนำเสนอแนวโน้มสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีปัจจุบัน
ภูมิทัศน์เศรษฐกิจมหภาคและปัจจัยขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ 2568
ปี 2568 นี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากหลายปัจจัย แม้เศรษฐกิจโลกจะส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ความเปราะบางยังคงมีอยู่สูง ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับที่ต้องจับตา การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านและกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่จำกัดความสามารถในการกู้ยืมและตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ของประชาชนจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวต่างชาติได้เข้ามาเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจและกระตุ้นความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์บางเซกเมนต์ โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดมิเนียมและที่พักอาศัยเพื่อการลงทุนในเมืองท่องเที่ยวและแหล่งเศรษฐกิจหลัก เมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าและรถไฟความเร็วสูง ก็ยังคงเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินและโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวเส้นทาง ทำให้เกิดการขยายตัวของเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆ ที่น่าจับตาสำหรับนักลงทุนในระยะยาว
เจาะลึกผลประกอบการ: บทเรียนจากปี 2566-2567 สู่กลยุทธ์ 2568
หากมองย้อนกลับไปในช่วงปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญความท้าทายอย่างเห็นได้ชัด รายได้รวมของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ 41 แห่งในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยรวมแล้วลดลงเล็กน้อยที่ประมาณ -1.2% จากปี 2565 อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะลึกรายบริษัท กลับพบว่ามีถึง 25 บริษัทที่รายได้รวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่สถิติ แต่เป็นสัญญาณเตือนและบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงกลยุทธ์ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงในสภาพตลาดปัจจุบัน
บริษัทที่ประสบภาวะรายได้รวมติดลบในหลัก 20% ขึ้นไป อาทิ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์, อีสเทิร์น สตาร์ เรียล เอสเตท, คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์, ไรมอน แลนด์, ลลิล พร็อพเพอร์ตี้, เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ และไซมิส แอสเสท แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของบางกลุ่มผู้พัฒนาที่ต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน การพึ่งพิงตลาดกลุ่มเดียว หรือการมีโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม อาจทำให้เกิดความเสี่ยงสูงเมื่อตลาดชะลอตัวลง ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ การปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ และความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุน จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดผู้ชนะในสภาวะที่ตลาดผันผวน
แม้แต่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ก็ยังเผชิญกับรายได้รวมที่ลดลง สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีใครรอดพ้นจากแรงกดดันของตลาดได้โดยสมบูรณ์ ในขณะที่บริษัท Top 10 ที่ทำรายได้สูงสุดในปี 2566 นั้น มีถึง 5 บริษัทที่รายได้รวมลดลงจากปีก่อนหน้า เช่น เอพี (ไทยแลนด์), ศุภาลัย, พฤกษา โฮลดิ้ง และออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ แสดงให้เห็นถึงความกดดันที่แม้แต่ผู้นำตลาดก็ยังต้องเผชิญ โจทย์สำคัญสำหรับปี 2568 คือการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
แชมป์รายได้รวม: แสนสิริกับการเติบโตที่โดดเด่น
ในการจัดอันดับบริษัทที่มีรายได้รวมสูงสุดนั้น แสนสิริยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้อย่างแข็งแกร่งด้วยรายได้รวม 39,082 ล้านบาท เติบโตถึง 12% ซึ่งเป็นการเติบโตที่น่าประทับใจเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวมที่ชะลอตัวลง การที่แสนสิริสามารถแซงหน้าคู่แข่งอย่างเอพี (ไทยแลนด์) ที่ทำรายได้รวม 38,399 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย การพัฒนาโครงการที่หลากหลาย และความสามารถในการส่งมอบที่รวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
ตามมาด้วยศุภาลัย (31,818 ล้านบาท), แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (30,170 ล้านบาท), พฤกษา โฮลดิ้ง (26,132 ล้านบาท) ซึ่งเป็นผู้เล่นหลักที่ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายเช่นกัน อันดับอื่นๆ ได้แก่ เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น, ยูนิเวนเจอร์, เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย), ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และสิงห์ เอสเตท ก็ยังคงเป็นกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย
รายได้จากการขาย: หัวใจสำคัญของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
แม้รายได้รวมจะเป็นตัวเลขที่ใหญ่ แต่หากจะวัดผลงานที่แท้จริงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เราจำเป็นต้องพิจารณา “รายได้จากการขาย” เป็นหลัก เพราะนี่คือตัวเลขที่สะท้อนถึงความสามารถในการส่งมอบโครงการและปิดการขายให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งในปี 2566 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 41 แห่งมีรายได้จากการขายรวมกัน 268,460 ล้านบาท ลดลงประมาณ -11% จากปี 2565 และมีถึง 30 บริษัทที่รายได้จากการขายลดลง ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วงและชี้ให้เห็นถึงความยากลำบากในการระบายสต็อกและสร้างยอดขายใหม่
บริษัทที่ประสบปัญหาอย่างหนัก เช่น ไรมอน แลนด์ ที่มีรายได้จากการขายลดลงถึง -78% และแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ที่ลดลงเกือบ -40% ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการพึ่งพิงโครงการคอนโดมิเนียมกลุ่มกำลังซื้อสูง หรือโครงการที่ใช้เวลาก่อสร้างนานและถูกกระทบจากปัจจัยภายนอก ส่วนแลนด์แอนด์เฮ้าส์ แม้จะเป็นผู้นำด้านกำไร แต่รายได้จากการขายก็ลดลงถึง -38% แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพารายได้จากแหล่งอื่นในการพยุงผลประกอบการ
เอพี (ไทยแลนด์): แชมป์แห่งการขาย
เมื่อพิจารณาเฉพาะรายได้จากการขาย เอพี (ไทยแลนด์) ผงาดขึ้นเป็นอันดับ 1 ด้วยรายได้ 36,927 ล้านบาท แม้โดยรวมจะติดลบเล็กน้อยที่ -2% แต่ความสามารถในการรักษายอดขายในระดับสูงเช่นนี้ ย้ำให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดกลาง-บน และกลยุทธ์การเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับกำลังซื้อและทำเลศักยภาพ
แสนสิริตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยรายได้จากการขาย 32,829 ล้านบาท และเป็นหนึ่งในสองบริษัทใน Top 10 ที่รายได้จากการขายเติบโตถึง 7% สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการทำตลาดและการบริหารจัดการสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ศุภาลัยยังคงรักษาอันดับ 3 ได้อย่างเหนียวแน่นด้วยรายได้ 30,836 ล้านบาท แสดงถึงฐานลูกค้าที่มั่นคงและผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความไว้วางใจ ส่วนเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น สามารถขยับขึ้นสู่ Top 5 ได้สำเร็จด้วยรายได้จากการขาย 23,370 ล้านบาท และเป็นการเติบโตถึง 13% ซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่ง ส่วนพฤกษา โฮลดิ้ง ยังคงติดอันดับด้วยรายได้ 22,357 ล้านบาท
รายชื่ออื่นๆ ใน Top 10 ด้านรายได้จากการขายประกอบด้วย แลนด์แอนด์เฮ้าส์, เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้, ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (แม้รายได้ลดลง -24%), ควอลิตี้ เฮ้าส์ และพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ซึ่งล้วนเป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพในการแข่งขันและมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง
อีกหนึ่งดาวเด่นที่ต้องจับตาคือ เซ็นทรัลพัฒนา ที่เริ่มเก็บเกี่ยวรายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายอย่างจริงจัง โดยในปี 2566 มีรายได้จากการขาย 5,835 ล้านบาท เติบโตถึง 103% จากปี 2565 สะท้อนถึงความสำเร็จในการขยายพอร์ตธุรกิจจากศูนย์การค้าสู่โครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเติบโตในอนาคตของบริษัท
กำไรสุทธิ: มาตรวัดผู้ชนะที่แท้จริง
ท้ายที่สุดแล้ว ในโลกของธุรกิจ “กำไร” คือสิ่งที่สะท้อนถึงความสำเร็จที่แท้จริง ไม่ว่าจะทำรายได้ได้มากเท่าไร หากไม่สามารถเปลี่ยนเป็นกำไรเข้ากระเป๋าได้ ก็ย่อมไม่ถือว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริง ในปี 2566 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 41 แห่งมีกำไรสุทธิรวมกัน 44,165 ล้านบาท ลดลง -11% จากปี 2565 ที่น่ากังวลคือ มีถึง 12 บริษัทที่ผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปี และกว่า 20 บริษัทจาก 41 บริษัทที่มีผลกำไรลดลงจากปี 2565 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
แลนด์แอนด์เฮ้าส์: แชมป์กำไรสูงสุด
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ยังคงเป็นแชมป์เก่าด้านกำไรสูงสุด ด้วยตัวเลข 7,495 ล้านบาท แม้จะมีรายได้จากการขายที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่การมีกำไรพิเศษจากการขายโรงแรม 2 แห่งเข้ากองทุนกว่า 2,500 ล้านบาท ได้เข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้บริษัทยืนหนึ่งในด้านนี้ได้ หากไม่มีกำไรพิเศษนี้ ศุภาลัยซึ่งทำกำไรได้ 6,083 ล้านบาท ก็น่าจะผงาดขึ้นเป็นอันดับ 1 แทนที่
เอพี (ไทยแลนด์) ตามมาเป็นอันดับ 3 ด้วยกำไรสุทธิ 6,054 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแปลงยอดขายเป็นกำไรได้อย่างยอดเยี่ยม แสนสิริทำกำไรสุทธิ 5,846 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 42% ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้นและกลยุทธ์การขายที่ประสบความสำเร็จ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีกำไรสุทธิ 3,160 ล้านบาท แม้จะลดลงจากปีก่อน -25% แต่ก็ยังอยู่ในกลุ่มผู้นำด้านกำไร
อันดับอื่นๆ ใน Top 10 ด้านกำไรสุทธิประกอบด้วย เอสซี แอสเสท (2,525 ล้านบาท), ควอลิตี้เฮ้าส์ (2,503 ล้านบาท), พฤกษา โฮลดิ้ง (2,339 ล้านบาท), เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (1,865 ล้านบาท) และเซ็นทรัลพัฒนา (1,610 ล้านบาท โดยประมาณการจากกำไรก่อนหักภาษี) ซึ่งล้วนเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งทางการเงินและกลยุทธ์ที่ชัดเจน
แนวโน้มและโอกาสทองในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568
ปี 2568 ไม่ใช่ปีแห่งการมองโลกในแง่ร้าย แต่เป็นปีแห่งการปรับตัวและมองหาโอกาสใหม่ๆ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และนักลงทุนจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเทรนด์สำคัญดังต่อไปนี้:
การปรับตัวสู่ความยั่งยืน (ESG): ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ไม่ใช่แค่เทรนด์ ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน การลงทุนในการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วัสดุที่ยั่งยืน และการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ จะสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูง
นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล (PropTech): การนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง การตลาด การขาย ไปจนถึงการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Smart Living, Smart Building, AI-driven marketing) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า นักลงทุนที่สนใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ควรศึกษาโครงการที่นำเทคโนโลยีมาใช้อย่างชาญฉลาด
ตลาดกำลังซื้อต่างชาติและกลุ่ม High-Net-Worth Individuals (HNWI): แม้กำลังซื้อภายในประเทศจะชะลอตัว แต่ตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน รัสเซีย และประเทศในกลุ่ม CLMV ที่มองหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนหรือที่อยู่อาศัยหลังเกษียณในไทย ยังคงมีศักยภาพสูง การพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หรูหรา และอำนวยความสะดวกในการซื้อขายสำหรับชาวต่างชาติ จะเป็นช่องทางสร้างรายได้ที่สำคัญ
โครงการ Mixed-Use และ Wellness Real Estate: ผู้บริโภคมองหาความสะดวกสบายและการใช้ชีวิตที่ครบวงจรในที่เดียว โครงการ Mixed-Use ที่รวมที่อยู่อาศัย ออฟฟิศค้าปลีก และพื้นที่สันทนาการเข้าด้วยกันยังคงเป็นที่ต้องการ นอกจากนี้ เทรนด์ Wellness Real Estate หรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ
ทำเลศักยภาพใหม่: นอกจากใจกลางเมืองแล้ว ทำเลตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย เมืองท่องเที่ยวรอง และพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว การวิเคราะห์ข้อมูลทำเลและกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียดจะช่วยให้นักพัฒนาสามารถลงทุนได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
บทสรุปและคำเชิญ
ปี 2568 เป็นปีที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องปรับตัวอย่างฉับไวและชาญฉลาด เน้นการสร้างนวัตกรรม ความยั่งยืน และความเข้าใจที่ลึกซึ้งในพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป บทเรียนจากความท้าทายในปีที่ผ่านมาได้สอนให้เราเห็นถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง การกระจายพอร์ตการลงทุน และการมีกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น การเป็นผู้เชี่ยวชาญในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้หมายถึงแค่การทำกำไรสูงสุด แต่คือการเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างยั่งยืน
หากคุณคือผู้ประกอบการที่กำลังมองหากลยุทธ์ใหม่ๆ นักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสทอง หรือแม้แต่ผู้ที่กำลังมองหาบ้านในฝันในยุคที่ตลาดไม่เหมือนเดิม การศึกษาและทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้อย่างลึกซึ้งคือกุญแจสู่ความสำเร็จ ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไปด้วยกัน และค้นพบโอกาสในการลงทุนที่ใช่สำหรับคุณในปี 2568 นี้

