กรมอุตุเตือน ใต้ 8 จังหวัด ฝนยังตกหนัก อ่าวไทยคลื่นสูง ส่วนภาคอื่นอุณหภูมิลดลงอีก1-4 องศา
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดพัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล มีฝนตกหนักหลายพื้นที่ และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมบริเวณภาคใต้ตอนล่าง และประเทศมาเลเซีย ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ขอให้ประชาชนในภาคใต้ตอนล่างยังคงต้องระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ฝนที่ตกสะสม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชนภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีก 1 วัน

สำหรับประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศเย็นลง กับมีลมแรง โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาถึงประเทศจีนตอนใต้ และประเทศเวียดนามตอนบนแล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงตอนบนในวันนี้ (25 พ.ย.)
อนึ่ง พายุดีเปรสชันบริเวณประเทศฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มจะเคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนกลางในช่วงวันที่ 25–26 พ.ย. หลังจากนั้นจะมีกำลังแรงขึ้น และเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนใต้ ในช่วงวันที่ 28–30 พ.ย. ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามและทะเลจีนใต้ ส่งผลให้พายุนี้จะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วตามลำดับ โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย แต่จะส่งผลให้ลมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังแรงขึ้น
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06.00 น. วันนี้ ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้

ภาคเหนือ
อากาศเย็นถึงหนาว และอุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 13-19 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 26-30 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศเย็นถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อากาศอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 15-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-29 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 11-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคกลาง
อากาศเย็นในตอนเช้า กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 19-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออก
อากาศเย็นในตอนเช้า กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 19-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 2-3 เมตร
ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก)
ตอนบนของภาค : อากาศเย็นในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ตอนล่างของภาค : มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ กับมีฝนตกหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดพัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 25-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร
ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก)
มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 25-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
กรุงเทพและปริมณฑล
อากาศเย็นในตอนเช้า กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 21-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568: วิเคราะห์ผลงานยักษ์ใหญ่ปี 2567 และทิศทางอนาคต
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าจับตาและวิเคราะห์พลวัตของตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2568 นี้ เรามองย้อนกลับไปยังปี 2567 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายและการปรับตัวครั้งสำคัญสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย หลังจากที่ตลาดต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันต่อเนื่องมาหลายปี ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง หนี้ครัวเรือนที่ยังคงเป็นเงาคุกคาม และกำลังซื้อที่เปราะบาง การฟื้นตัวในปี 2567 จึงเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่สม่ำเสมอ แต่ก็มีสัญญาณเชิงบวกปรากฏขึ้นในบางเซกเมนต์ และบริษัทที่มีกลยุทธ์แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถคว้าโอกาสและเติบโตได้ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลง
Property Mentor ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ 41 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อประเมินผลการดำเนินงานในปี 2567 อย่างละเอียด และค้นหา “ผู้ชนะตัวจริง” ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่น และปรับตัวเข้ากับภูมิทัศน์ของตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้
ภูมิทัศน์เศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567: ความหวังที่มาพร้อมกับข้อจำกัด
ปี 2567 เริ่มต้นขึ้นด้วยความคาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเต็มที่ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ ทั้งจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ความล่าช้าในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานบางส่วน และกำลังซื้อภายในประเทศที่ยังคงถูกจำกัดด้วยภาระหนี้สิน ทำให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยยังคงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังคงรักษาระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนทางการเงินของทั้งผู้ประกอบการและผู้ซื้อสินเชื่อบ้าน ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านราคาและยอดขายอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าภาพรวมตลาดจะยังคงถูกปกคลุมด้วยความระมัดระวัง แต่ก็เริ่มเห็นการฟื้นตัวในบางกลุ่มตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบนที่ยังคงมีกำลังซื้อ รวมถึงโครงการที่ตอบโจทย์เทรนด์การใช้ชีวิตสมัยใหม่ อาทิ ความยั่งยืน (ESG), สุขภาพ (Wellness) และเทคโนโลยี (Smart Home) บริษัทที่สามารถปรับกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับความต้องการเหล่านี้ได้ จึงมีโอกาสสร้างความแตกต่างและยอดขายได้ดีกว่า
ภาพรวมผลประกอบการรวมของ 41 บริษัทอสังหาฯ ในปี 2567
จากการประมวลผล บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 41 แห่ง สามารถสร้างรายได้รวมกันกว่า 385,720 ล้านบาทในปี 2567 เพิ่มขึ้นประมาณ 3.8% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้รวม 371,560 ล้านบาท การเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตัวและระบายสต็อกของหลายบริษัท แต่หากพิจารณารายบริษัท จะพบว่ามีถึง 20 จาก 41 บริษัทที่ยังคงมีรายได้รวมลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนในกลยุทธ์และประสิทธิภาพการดำเนินงาน
บริษัทที่ประสบปัญหาอย่างมีนัยสำคัญในปี 2567 และมีรายได้รวมติดลบในระดับสูง เช่น บริษัทที่เคยพึ่งพาลูกค้าต่างชาติเป็นหลักแต่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หรือบริษัทที่มีปัญหาเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์และการบริหารจัดการหนี้ ส่วนบริษัทที่สามารถพลิกฟื้นและสร้างรายได้เติบโตได้ดีมักเป็นผู้ที่มีความหลากหลายในพอร์ตโฟลิโอ หรือมีโครงการในทำเลศักยภาพที่ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด
การวิเคราะห์รายได้รวม: ใครคือผู้นำในปีที่ผันผวน?
การแข่งขันในกลุ่ม Top 10 บริษัทยักษ์ใหญ่ยังคงดุเดือด โดยในปี 2567 นี้ มีการสลับตำแหน่งอย่างน่าสนใจ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและเร่งโอนกรรมสิทธิ์ของแต่ละราย
อันดับ 1: เอพี (ไทยแลนด์) ผงาดขึ้นเป็นแชมป์รายได้รวมสูงสุดด้วยตัวเลข 41,200 ล้านบาท เติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่า 7% จากปีก่อนหน้า ด้วยกลยุทธ์การเปิดตัวโครงการใหม่ที่หลากหลาย ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการบริหารจัดการการโอนกรรมสิทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ
อันดับ 2: แสนสิริ ตามมาติดๆ ด้วยรายได้รวม 40,550 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และความสามารถในการสร้างยอดขายและการโอนที่มั่นคง แม้การแข่งขันจะเข้มข้น
อันดับ 3: ศุภาลัย รักษาตำแหน่งในกลุ่มผู้นำ ด้วยรายได้รวม 33,500 ล้านบาท โดยเน้นกลยุทธ์การพัฒนาโครงการแนวราบที่ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง
อันดับ 4: แลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีรายได้รวม 31,900 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงและฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายเช่นกัน
อันดับ 5: พฤกษา โฮลดิ้ง ด้วยรายได้รวม 27,800 ล้านบาท สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์ที่เริ่มเห็นผลในการฟื้นตัว
อันดับ 6: เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น มีรายได้รวม 26,000 ล้านบาท โดยเน้นโครงการระดับพรีเมียมและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม
อันดับ 7: ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ สามารถกลับมาเติบโตได้ดีด้วยรายได้รวม 17,500 ล้านบาท หลังจากมีการปรับพอร์ตโฟลิโอและขยายสู่โครงการมิกซ์ยูส
อันดับ 8: ยูนิเวนเจอร์ มีรายได้รวม 17,200 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอื่น ๆ ในเครือ
อันดับ 9: เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ด้วยรายได้รวม 16,800 ล้านบาท แสดงถึงความหลากหลายของธุรกิจที่ช่วยพยุงผลประกอบการ
อันดับ 10: เซ็นทรัลพัฒนา ก้าวเข้ามาใน Top 10 ได้สำเร็จด้วยรายได้รวม 16,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความสำเร็จในการรุกตลาดโครงการเพื่อขายและธุรกิจคอมเมอร์เชียลที่เติบโตต่อเนื่อง
แม้ว่า Top 10 ส่วนใหญ่จะยังคงเป็นหน้าเดิม แต่การเปลี่ยนแปลงอันดับและอัตราการเติบโตที่แตกต่างกัน บ่งชี้ว่าปี 2567 เป็นปีที่ต้องใช้ความยืดหยุ่นและการมองการณ์ไกลอย่างมาก
รายได้จากการขาย: หัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ
หากวัดกันที่ความสามารถในการ “ขาย” จริงๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รายได้จากการขายสะท้อนถึงกำลังซื้อในตลาดและประสิทธิภาพของทีมการตลาดและการขายโดยตรง ในปี 2567 บริษัททั้ง 41 แห่ง มีรายได้จากการขายรวมกัน 289,350 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 7.8% จากปี 2566 ที่มีรายได้รวม 268,460 ล้านบาท ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นตัวของยอดขาย แม้ว่าจะมีถึง 15 จาก 41 บริษัทที่รายได้จากการขายยังคงลดลง
บริษัทที่ประสบปัญหาในการรักษายอดขายมักจะเป็นบริษัทที่พึ่งพาสินค้าคงค้าง (inventory) ในราคาเดิมที่สูง หรือโครงการที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอีกต่อไป ในขณะที่บริษัทที่มียอดขายโดดเด่นมักจะมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ประสบความสำเร็จ หรือการปรับกลยุทธ์ด้านราคาและโปรโมชั่นที่เข้าถึงผู้ซื้อได้ดี
อันดับ 1: เอพี (ไทยแลนด์) ยังคงเป็นผู้นำด้านยอดขายอย่างแข็งแกร่ง ด้วยรายได้จากการขายรวม 38,500 ล้านบาท ตอกย้ำถึงความสามารถในการสร้างและปิดการขายได้อย่างต่อเนื่อง
อันดับ 2: แสนสิริ ตามมาเป็นอันดับสองด้วยรายได้จากการขายรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนิยมในโครงการและแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
อันดับ 3: ศุภาลัย รักษาตำแหน่งในกลุ่มผู้นำด้านยอดขาย ด้วย 32,500 ล้านบาท โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่ยังคงเป็นเรือธง
อันดับ 4: เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ยกระดับขึ้นมาอย่างโดดเด่น ด้วยรายได้จากการขาย 25,500 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ที่ได้รับการตอบรับดี
อันดับ 5: พฤกษา โฮลดิ้ง มีรายได้จากการขายรวม 23,800 ล้านบาท แสดงถึงความพยายามในการผลักดันยอดขายจากโครงการที่หลากหลาย
อันดับ 6: แลนด์แอนด์เฮ้าส์ แม้ยอดขายจะเผชิญความท้าทาย แต่ยังคงติดอันดับด้วย 20,500 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์
อันดับ 7: ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ สามารถกลับมาสร้างยอดขายได้ดีด้วย 10,200 ล้านบาท จากการปรับกลยุทธ์สินค้าและทำเล
อันดับ 8: เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ด้วยรายได้จากการขาย 9,500 ล้านบาท ซึ่งมาจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์
อันดับ 9: ควอลิตี้ เฮ้าส์ ยังคงรักษาฐานลูกค้าได้ดี ด้วยรายได้จากการขายรวม 8,200 ล้านบาท
อันดับ 10: เซ็นทรัลพัฒนา ก้าวเข้ามาใน Top 10 ด้านยอดขายเป็นครั้งแรก ด้วย 7,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญสำหรับพอร์ตโครงการเพื่อขาย
การเติบโตของเซ็นทรัลพัฒนาในหมวดรายได้จากการขายเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่น่าสนใจ ว่าผู้เล่นที่มีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนและทำเลศักยภาพ กำลังปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจพัฒนาโครงการเพื่อขายอย่างจริงจัง และพร้อมที่จะเป็นผู้ท้าชิงรายสำคัญในอนาคต
กำไรสุทธิ: บทพิสูจน์ “ผู้ชนะตัวจริง”
ท้ายที่สุดแล้ว แม้จะมียอดขายและรายได้สูงเพียงใด แต่หากไม่สามารถแปลงเป็นกำไรสุทธิเข้ากระเป๋าได้ ก็ไม่อาจถือว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริงได้ ในปี 2567 บริษัททั้ง 41 แห่ง มีกำไรสุทธิรวมกัน 48,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 9.8% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิรวม 44,165 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนและการเงินที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีกว่า 10 บริษัทที่ผลประกอบการขาดทุน และกว่า 18 บริษัทที่มีผลกำไรลดลงจากปี 2566 ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารจัดการที่มีวินัยและกลยุทธ์ที่รอบคอบในสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน
อันดับ 1: แลนด์แอนด์เฮ้าส์ กลับมาครองแชมป์กำไรสุทธิสูงสุด ด้วย 8,200 ล้านบาท แม้รายได้จากการขายจะลดลงในบางช่วง แต่ความสามารถในการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและรายได้จากธุรกิจให้เช่าและโรงแรมที่ฟื้นตัว รวมถึงการรับรู้กำไรจากการขายสินทรัพย์บางส่วนเข้ากองทุน ทำให้ยังคงรักษากำไรสุทธิได้ในระดับสูง
อันดับ 2: ศุภาลัย ยังคงรักษาความแข็งแกร่งด้านกำไร ด้วย 6,800 ล้านบาท สะท้อนถึงการควบคุมต้นทุนการก่อสร้างที่ดีและกลยุทธ์การขายที่รัดกุม
อันดับ 3: เอพี (ไทยแลนด์) ทำกำไรสุทธิ 6,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างมั่นคงจากยอดขายและรายได้ที่เพิ่มขึ้น
อันดับ 4: แสนสิริ มีกำไรสุทธิ 6,200 ล้านบาท โดยแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการทำกำไรที่ยังคงแข็งแกร่ง
อันดับ 5: ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ฟื้นตัวได้ดีด้วยกำไรสุทธิ 3,500 ล้านบาท หลังจากปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน
อันดับ 6: เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น มีกำไรสุทธิ 2,800 ล้านบาท จากการขยายฐานลูกค้าโครงการระดับลักซ์ชัวรี่
อันดับ 7: ควอลิตี้ เฮ้าส์ มีกำไรสุทธิ 2,650 ล้านบาท โดยเน้นการบริหารจัดการที่ดีในทุกมิติ
อันดับ 8: พฤกษา โฮลดิ้ง มีกำไรสุทธิ 2,500 ล้านบาท สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจที่เริ่มเห็นผลเชิงบวก
อันดับ 9: เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ด้วยกำไร 2,000 ล้านบาท จากความหลากหลายของพอร์ตโฟลิโอ
อันดับ 10: เซ็นทรัลพัฒนา ก้าวเข้ามาในกลุ่ม Top 10 ด้านกำไรด้วย 1,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของทั้งธุรกิจเพื่อขายและธุรกิจคอมเมอร์เชียล
บทเรียนและแนวโน้มสำหรับปี 2568
ปี 2567 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงเป็นสนามที่ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การปรับตัวอย่างรวดเร็ว และกลยุทธ์ที่แม่นยำ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่:
มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และทำเล (Product & Location Diversification): ไม่พึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป แต่กระจายความเสี่ยงไปยังทำเลและประเภทโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน เช่น โครงการแนวราบในทำเลศักยภาพชานเมือง โครงการคอนโดมิเนียมที่เน้นฟังก์ชันและดีไซน์ หรือแม้แต่การขยายสู่โครงการมิกซ์ยูสและอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์
บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (Cost Management & Efficiency): ในภาวะที่ต้นทุนการก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยยังคงสูง การควบคุมต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
มุ่งเน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Innovation & Technology Adoption): การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการออกแบบ การก่อสร้าง การตลาด และการบริหารจัดการลูกบ้าน ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังช่วยเพิ่มมูลค่าและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (ESG Integration): ผู้ซื้อในปัจจุบันให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลมากขึ้น บริษัทที่สามารถผนวกแนวคิด ESG เข้ากับการพัฒนาโครงการได้ จะได้รับความเชื่อมั่นและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
มีความยืดหยุ่นทางการเงิน (Financial Resilience): การมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง การบริหารหนี้อย่างรอบคอบ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย จะช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้
สำหรับปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยคาดว่าจะยังคงเผชิญกับปัจจัยกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่อาจยังทรงตัวในระดับสูงในช่วงครึ่งปีแรก และภาวะหนี้ครัวเรือน อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจมีเพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ เราคาดการณ์ว่าตลาดจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะในกลุ่มโครงการที่ตอบโจทย์ดีมานด์จริง (Real Demand) และโครงการที่เน้นคุณภาพทำเลและการออกแบบ
โอกาสการลงทุนและการพัฒนาในยุค 2025
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 ยังคงมีโอกาสสำหรับนักลงทุนและผู้พัฒนาที่มีวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะในกลุ่ม:
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่า (Rental Property): ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัยที่ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่และชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย
อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ (Wellness & Senior Living): เทรนด์สังคมสูงวัยและผู้ที่ใส่ใจสุขภาพยังคงเป็นเมกะเทรนด์ที่น่าจับตา
โครงการมิกซ์ยูส (Mixed-Use Developments): ที่ผสานที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก และพื้นที่ทำงานเข้าด้วยกัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในต่างจังหวัด (Regional Hubs): โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวสูง
การวิเคราะห์ผลประกอบการในปี 2567 นี้ เป็นเพียงภาพสะท้อนส่วนหนึ่งของความพยายามและการปรับตัวของบริษัทต่างๆ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย สำหรับปี 2568 และในอนาคต การแข่งขันจะยังคงเข้มข้น และผู้ที่สามารถมองเห็นโอกาส สร้างนวัตกรรม และบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างชาญฉลาดเท่านั้นที่จะเป็นผู้ที่อยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ก้าวทันโลกอสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไปกับผู้เชี่ยวชาญ!
หากท่านคือผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้ที่สนใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย และต้องการคำแนะนำเชิงลึก กลยุทธ์ที่ปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือข้อมูลล่าสุดเพื่อนำทางสู่ความสำเร็จในปี 2568 และหลังจากนั้น อย่าลังเลที่จะติดต่อทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อปรึกษาหารือ เราพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ช่วยให้ท่านบรรลุเป้าหมายและคว้าโอกาสในทุกสภาวะตลาดที่ท้าทาย

