อิ๊งค์ โพสต์ภาพคู่ ทักษิณ-ครอบครัว เผยพ่อสบายดี ได้กอดกัน-ทานข้าวด้วยกัน รับรู้ถึงความรักความห่วงใย พร้อมฝากความเป็นห่วงถึงทุกคน
เมื่อวันที่ 27 พ.ย.68 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์รูปภาพผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว โดยเป็นภาพที่ถ่ายร่วมกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาว นายพานทองแท้ ชินวัตร พี่ชาย พร้อมด้วยนายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามี และน.ส. ณัฐฐิญา ปวงคำ ภรรยาของนายพานทองแท้
โดย น.ส.แพทองธาร ระบุข้อความว่า เกือบ 2 ชั่วโมงที่เหมือนได้กลับมาอยู่ด้วยกันจริงๆ วันนี้ทางเรือนจำ จัดกิจกรรม เยี่ยมญาติใกล้ชิด ให้ญาติๆ ได้เข้ามาเจอกัน กอดกัน ทานข้าวด้วยกัน แบบไม่ต้องคุยโทรศัพท์ผ่านกระจก ได้เดินตลาดย่อมๆ ที่พี่ๆ น้องๆ ในเรือนจำทำอาหาร ทำศิลปะมาขาย ได้มีโอกาสอุดหนุนหลายร้านอยู่
“แว๊บนึง รู้สึกเหมือนกลับไปเป็น ดญ.แพทองธาร เดินจับมือคุณพ่อ และพี่ๆ เดินตลาด กันแบบตอนเด็กๆ (จริงๆพ่อจะชอบตลาดสดมาก เพราะได้เลือกเอง ตามเมนูที่จะทำให้ที่บ้านทานตอนวันอาทิตย์) ถึงคนที่เป็นห่วงคุณพ่อ ท่านสบายดี รับรู้ถึงความรักความห่วงใย และฝากความเป็นห่วงถึงทุกๆ คนค่ะ” น.ส.แพทองธาร ระบุ
เจาะลึกตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568: ถอดรหัสกลยุทธ์สู่ชัยชนะในยุคแห่งการปรับตัว
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มายาวนานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการพลิกผันของตลาดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นช่วงขาขึ้นที่ร้อนแรง หรือช่วงเวลาแห่งความท้าทายที่ต้องใช้ความอดทนและวิสัยทัศน์เฉียบคม หากจะกล่าวถึงปี 2568 ปีนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ผู้ประกอบการและนักลงทุนใน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไทยทุกคนต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ตลาดเผชิญกับคลื่นลมแห่งความผันผวนมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 และต่อเนื่องถึง 2567 ที่ผ่านมา การฟื้นตัวยังคงเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ และปี 2568 นี้เองที่กลยุทธ์อันชาญฉลาดและความสามารถในการปรับตัวจะชี้วัดว่าใครคือ “ผู้ชนะตัวจริง” ในสมรภูมิอันดุเดือดนี้
ภูมิทัศน์เศรษฐกิจมหภาค: ปัจจัยกำหนดทิศทางอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568
ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึงผลประกอบการและกลยุทธ์ของผู้พัฒนา เราต้องทำความเข้าใจถึงบริบททางเศรษฐกิจมหภาคที่ส่งผลต่อ แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ไทย ในปี 2568 เสียก่อน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นไปอย่างเปราะบาง ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาเงินเฟ้อที่แม้จะเริ่มคลี่คลาย แต่ก็ยังเป็นปัจจัยกดดันสำคัญ ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง ส่งผลให้ สินเชื่อที่อยู่อาศัยดอกเบี้ย ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีแรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมและสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาค การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ 2568 ได้ไม่น้อย
นอกจากนี้ นโยบายของภาครัฐบาลชุดปัจจุบันก็มีส่วนสำคัญต่อทิศทางของตลาด ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ หรือการแก้ปัญหากำลังซื้อที่ยังคงอ่อนแอ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์บางประการ หรือการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี อาจเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ตลาดกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง แต่สิ่งที่เราต้องยอมรับคือตลาดในวันนี้ไม่ใช่ตลาดที่ “ขึ้นตามน้ำ” อีกต่อไป ผู้พัฒนาอสังหาฯ จึงต้องคิดให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่าทำอย่างไรถึงจะเข้าถึงและตอบโจทย์ความต้องการที่ซับซ้อนของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้
เจาะลึกกลยุทธ์สร้างรายได้: ใครคือผู้นำตัวจริง?
จากประสบการณ์ของผม บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถยืนหยัดและเติบโตได้ในสถานการณ์ที่ท้าทาย มักจะเป็นผู้ที่ไม่ได้พึ่งพา รายได้จากการขาย เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังรวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการ รายได้รวม จากหลายช่องทาง และการสร้างกำไรสุทธิที่ยั่งยืน
ในปี 2568 นี้ เราจะได้เห็นการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของผู้พัฒนาหลายรายจากเดิมที่เน้นการสร้างแล้วขาย สู่การสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” และ “รายได้ประจำ” (Recurring Income) มากขึ้น บริษัทที่มีพอร์ตโฟลิโอหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น โครงการมิกซ์ยูส ที่ผสานทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม สำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกเข้าไว้ด้วยกัน หรือผู้ที่ลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เพื่อให้เช่า เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม และพื้นที่สำนักงาน จะมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอมาช่วยพยุงในช่วงที่ ตลาดคอนโดมิเนียม หรือ ตลาดบ้านเดี่ยว ซบเซา
สำหรับการสร้าง รายได้จากการขาย ผู้ชนะในวันนี้ไม่ใช่แค่ผู้ที่ขายได้มากที่สุด แต่เป็นผู้ที่สามารถขายใน “ราคาที่เหมาะสม” และ “ตรงกลุ่มเป้าหมาย” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปรับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ตัวอย่างเช่น:
ตลาดที่อยู่อาศัยราคาเข้าถึงได้ (Affordable Segment): แม้กำลังซื้อโดยรวมจะยังไม่แข็งแกร่งนัก แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยในกลุ่มนี้ยังคงมีอยู่สูง ผู้พัฒนาที่สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำเสนอสินค้าคุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้ จะยังคงมีโอกาส
ตลาดลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรี: กลุ่มกำลังซื้อสูงยังคงเป็นกลุ่มที่มีความต้องการต่อเนื่องและไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเท่าไรนัก การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม และมอบประสบการณ์เหนือระดับ จะเป็นกุญแจสำคัญ
อสังหาริมทรัพย์ที่เน้นสุขภาพและความยั่งยืน: เทรนด์เรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมกำลังมาแรง ผู้พัฒนาที่ใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่คำนึงถึงสุขภาวะ การใช้พลังงานทางเลือก หรือการขอมาตรฐานอาคารเขียว จะได้รับการตอบรับที่ดี
นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการขายและการตลาดก็เป็นสิ่งจำเป็นในยุคดิจิทัล การตลาดออนไลน์, VR Showroom, หรือ Big Data Analytics เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้พัฒนาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว
พลิกโฉมด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี: PropTech คืออนาคต
ปี 2568 คือปีที่ PropTech นวัตกรรมอสังหาฯ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มองการณ์ไกลและกล้าที่จะลงทุนในเทคโนโลยี จะเป็นผู้นำตลาดในระยะยาว
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics): จากข้อมูลการสำรวจตลาดในอดีต ผู้นำในตลาดไม่ได้อาศัยเพียงแค่สัญชาตญาณอีกต่อไป แต่ใช้ข้อมูล Big Data ในการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด, พฤติกรรมผู้บริโภค, และการตั้ง ราคาประเมินที่ดิน ที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการ
ประสบการณ์ลูกค้าที่เหนือกว่า (Enhanced Customer Experience): การใช้ AI Chatbot เพื่อตอบคำถามลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง, ระบบ Smart Home ที่ผสานเทคโนโลยี IoT เข้ากับที่อยู่อาศัย, หรือ Virtual Reality (VR) Tours ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมโครงการได้จากทุกที่ทุกเวลา เหล่านี้คือสิ่งที่สร้างความแตกต่างและดึงดูดลูกค้า
ความยั่งยืนและการบริหารจัดการพลังงาน (Sustainability & Energy Management): การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการออกแบบอาคารให้ประหยัดพลังงาน, การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์, หรือระบบจัดการน้ำอัจฉริยะ ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนในระยะยาว แต่ยังตอบโจทย์กระแส ความยั่งยืนในอสังหาฯ และดึงดูดผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
บริษัทที่สามารถผนวกเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ากับ กลยุทธ์ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นผู้พัฒนาขนาดใหญ่ หรือแม้แต่สตาร์ทอัพ PropTech ที่กำลังสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไปข้างหน้า
บริหารจัดการต้นทุนและการเงิน: กุญแจสู่กำไรสุทธิที่แข็งแกร่ง
แม้บริษัทจะมี รายได้รวม สูงแค่ไหน หากไม่สามารถบริหารจัดการต้นทุนและมี กำไรสุทธิ ที่ดี ก็คงไม่ใช่ผู้ชนะที่แท้จริง ในปี 2568 นี้ ความท้าทายด้านต้นทุนยังคงเป็นประเด็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น หรือราคาวัสดุก่อสร้างที่ยังคงผันผวน
ผู้พัฒนาที่ประสบความสำเร็จในการสร้าง กำไรสุทธิ ที่โดดเด่น มักจะมีลักษณะดังต่อไปนี้:
ความสามารถในการควบคุมต้นทุนก่อสร้าง: การมีพันธมิตรที่ดีกับผู้รับเหมา, การใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างแบบ Pre-fabrication เพื่อลดระยะเวลาและของเสีย, หรือการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญ
การบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโออย่างชาญฉลาด: บริษัทที่มีพอร์ตการลงทุนที่สมดุลระหว่างอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน จะสามารถกระจายความเสี่ยงและสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง
วินัยทางการเงินที่แข็งแกร่ง: ในช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยสูง การบริหารจัดการหนี้สินให้มีประสิทธิภาพ, การรักษาสภาพคล่อง, และการระมัดระวังในการขยายการลงทุน จะเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง บริษัทที่สามารถระดมทุนได้หลากหลายช่องทางและมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ จะมีความได้เปรียบ
เราได้เห็นตัวอย่างจากปีที่ผ่านมาว่า แม้บริษัทบางรายจะมีรายได้จากการขายที่ลดลง แต่ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ทำให้ยังคงสามารถรักษากำไรสุทธิไว้ได้ หรือแม้แต่เติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการบริหารจัดการภายในองค์กร
ตลาดเช่าและโอกาสการลงทุนใหม่ๆ
นอกจากการซื้อขายแล้ว ตลาดเช่าอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะ ตลาดเช่าระยะยาว ก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมในเมืองที่ตอบโจทย์คนทำงานยุคใหม่ หรือบ้านและทาวน์โฮมในทำเลชานเมืองที่ตอบโจทย์ครอบครัวที่ต้องการพื้นที่มากขึ้นแต่ยังไม่พร้อมซื้อ ผู้พัฒนาที่มองเห็นโอกาสนี้และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้เช่าได้อย่างลงตัว จะสามารถสร้างรายได้ประจำที่มั่นคง
สำหรับนักลงทุน การพิจารณา การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ 2568 ควรเน้นไปที่โครงการที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนทั้งจากค่าเช่า (Rental Yield) และการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว (Capital Gain) ทำเลทองที่ยังคงมีศักยภาพ เช่น พื้นที่ใกล้แนวรถไฟฟ้าใหม่ๆ, ศูนย์กลางธุรกิจใหม่ๆ, หรือเมืองท่องเที่ยวหลัก ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์คู่แข่งและศักยภาพของโครงการเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าและเส้นทางสู่ชัยชนะ
ปี 2568 แม้จะมีสัญญาณการฟื้นตัว แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น:
กำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่: ปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แข็งแกร่งส่งผลต่อความสามารถในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย
อัตราดอกเบี้ย: แม้จะคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยอาจจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นภาระของผู้ซื้อและผู้ประกอบการ
การแข่งขัน: ตลาดยังคงมีการแข่งขันสูง ทั้งจากผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: ความต้องการที่อยู่อาศัยที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ผู้พัฒนาต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อมั่นว่า โอกาสทางธุรกิจอสังหาฯ ยังคงมีอยู่มากมายสำหรับผู้ที่พร้อมจะเรียนรู้ ปรับตัว และสร้างสรรค์นวัตกรรม ผู้พัฒนาที่ยึดมั่นในหลักการบริหารจัดการที่ดี, มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล, และเข้าใจถึงแก่นแท้ของความต้องการของผู้บริโภค จะสามารถเปลี่ยนผ่านความท้าทายเหล่านี้ให้เป็นบันไดสู่ความสำเร็จได้
ชัยชนะในปี 2568 ไม่ได้วัดกันที่ขนาดของบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการวัดกันที่ความเร็วในการปรับตัว, ความแม่นยำในการอ่านตลาด, ความสามารถในการสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับลูกค้า, และความมุ่งมั่นในการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ก้าวต่อไปกับเรา!
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ที่พร้อมจะคว้าไว้ หากคุณเป็นหนึ่งในนักลงทุน ผู้พัฒนา หรือกำลังมองหาที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อนำทางในเส้นทาง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ซับซ้อนนี้ อย่าลังเลที่จะติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาเชิงลึกและร่วมกันวาง กลยุทธ์อสังหาริมทรัพย์ ที่แข็งแกร่ง เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน
