สถานการณ์น้ำท่วม ในพื้นที่ภาคใต้ยังคงอยู่ในระดับน่าเป็นห่วง โดยหลายอำเภอในจังหวัดสงขลาต้องเผชิญกับน้ำไหลหลากและฝนตกสะสมต่อเนื่อง โดยเฉพาะ อำเภอหาดใหญ่ ที่มีรายงานระดับน้ำสูงจนหลายชุมชนต้องรีบอพยพออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน

ท่ามกลางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นักแสดงหนุ่มชื่อดัง ซี ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ ซึ่งเติบโตที่จังหวัดสงขลา ได้ออกมาโพสต์ข้อความและภาพน้ำท่วมที่ได้รับมาจากเพื่อนในพื้นที่ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ซึ่งเป็นภาพมวลน้ำที่ท่วมสูงจนร้านค้า–บ้านเรือนถูกน้ำล้นจมหายไปเกือบครึ่ง
ซีระบุว่า เขา “ไม่เคยเห็นบ้านเกิดอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน” พร้อมเผยความรู้สึกใจหายและตกใจเป็นอย่างมากที่น้ำเข้าท่วมอย่างรวดเร็วและกว้างขวางกว่าที่เคย

อนาคตอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568: กลยุทธ์พิชิตตลาดและโอกาสทองของนักลงทุน
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตและวิเคราะห์พลวัตของตลาดมาอย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่ช่วงเวลาแห่งความท้าทายในปี 2566-2567 ที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับปัจจัยลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกำลังซื้อภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ตลอดจนปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งก็ยังต้องเผชิญกับยอดขายและผลกำไรที่ลดลง
แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2568 สถานการณ์เริ่มฉายภาพที่ซับซ้อนและน่าสนใจยิ่งขึ้น บทเรียนจากปีก่อนๆ ได้หล่อหลอมให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ และมองหาโอกาสใหม่ๆ ในภาวะที่ความแน่นอนเป็นสิ่งหายากยิ่ง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้ไม่ใช่เพียงแค่การฟื้นตัวจากการชะลอตัวเท่านั้น แต่เป็นการปรับโฉมครั้งสำคัญที่กำหนดทิศทางสำหรับทศวรรษข้างหน้า ผู้ที่สามารถถอดรหัสและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ จะกลายเป็น “ผู้ชนะตัวจริง” ในสมรภูมิที่พลิกผัน
พลวัตเศรษฐกิจโลกและไทยปี 2568: ปัจจัยขับเคลื่อนและข้อจำกัด
ในปี 2568 เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่แม้จะเริ่มชะลอตัวลงแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ต้องจับตา ขณะที่ธนาคารกลางหลายประเทศอาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดสินเชื่อบ้าน แต่ก็ยังคงมีความผันผวนที่ต้องบริหารจัดการ
สำหรับประเทศไทย เศรษฐกิจได้รับแรงหนุนสำคัญจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับมาจับจ่ายใช้สอยและบางส่วนก็มองหาโอกาสการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมหรูในเมืองใหญ่และแหล่งท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อภายในประเทศยังคงเป็นความท้าทายหลัก ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงลิ่ว การเข้าถึงสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น และความระมัดระวังในการใช้จ่ายของผู้บริโภค ยังคงเป็นปัจจัยจำกัดการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในวงกว้าง
นโยบายภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นตลาดในปี 2568 โดยเฉพาะมาตรการสนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัย การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง รวมถึงการผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่สร้างโอกาสในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในทำเลใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงต้องเผชิญกับต้นทุนการพัฒนาที่ดินและค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องหาทางรับมืออย่างชาญฉลาด
ภาพรวมผลประกอบการในมุมมองปี 2568: ผู้ปรับตัวคือผู้รอด
จากบทเรียนในปี 2566-2567 ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งมียอดรายได้และกำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2568 เราได้เห็นภาพที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง บริษัทที่สามารถปรับตัวและพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ต่างฉายแววโดดเด่นอย่างชัดเจน การพึ่งพิงตลาดในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป การขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มต่างชาติ การพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
โดยรวมแล้ว หากพิจารณาจากแนวโน้มและข้อมูลเชิงลึกที่ผมได้วิเคราะห์ตลอดปี 2568 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ยังคงต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ที่น่าสนใจคือ บริษัทที่เติบโตไม่ใช่แค่รายใหญ่ แต่ยังรวมถึงบริษัทที่มีกลยุทธ์เฉพาะตัวและบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี รายได้รวมของภาคธุรกิจอาจไม่ได้พุ่งกระฉูดเท่าช่วงบูม แต่การเติบโตจะเกิดขึ้นในกลุ่มบริษัทที่มีการลงทุนอย่างถูกจุดและมีความสามารถในการทำกำไรสูง
เจาะลึก 3 แกนหลัก: รายได้รวม รายได้จากการขาย และกำไรสุทธิ ในปี 2568
รายได้รวม (Total Revenue): การกระจายความเสี่ยงคือหัวใจ
ในปี 2568 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้รวมที่แข็งแกร่ง คือผู้ที่ไม่ได้พึ่งพิงเพียงรายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ได้มีการกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) อย่างมีนัยสำคัญ เช่น อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (ศูนย์การค้า, โรงแรม, อาคารสำนักงานให้เช่า) หรือธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กลุ่มบริษัทที่มีการพัฒนาโครงการแบบมิกซ์ยูส (Mixed-Use) ที่ผสมผสานที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก และพื้นที่ทำงานเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้มีกระแสเงินสดที่มั่นคงกว่า
นอกจากนี้ การขยายพอร์ตโฟลิโอไปยังต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะเมืองรองที่มีการเติบโตด้านการท่องเที่ยวและโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มรายได้รวม การเป็นพันธมิตรกับบริษัทต่างชาติเพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนเข้ามา ก็เป็นแนวทางที่ผู้ประกอบการชั้นนำหลายรายเลือกใช้ ทำให้เห็นว่าในภาพรวมรายได้รวมของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีความหลากหลายและยั่งยืนมากขึ้นกว่าในปีก่อนๆ ที่พึ่งพาการขายเพียงอย่างเดียว
รายได้จากการขาย (Sales Revenue): การเข้าใจลูกค้าคือชัยชนะ
สำหรับรายได้จากการขาย ในปี 2568 สิ่งที่โดดเด่นคือการที่ผู้ประกอบการหันมาให้ความสำคัญกับการ “เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง” และ “ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตรงจุด” มากกว่าการเน้นสร้างปริมาณ ความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่จำนวนยูนิตที่เปิดตัว แต่เป็นการปิดการขายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์
ตลาดคอนโดมิเนียม: ยังคงเป็นพระเอกในทำเลใจกลางเมืองและแนวรถไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดมิเนียมหรูและซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ที่ยังคงมีกำลังซื้อจากกลุ่มคนรวย (High Net Worth Individuals) และนักลงทุนต่างชาติที่มองหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาว รายได้จากการขายคอนโดฯ ในปีนี้เติบโตได้ดีในกลุ่มที่ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ สุขภาพ และความยั่งยืน
ตลาดบ้านแนวราบ: บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมยังคงเป็นที่ต้องการของครอบครัวขนาดกลางและใหญ่ แต่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้มีฟังก์ชันที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น ห้องอเนกประสงค์ที่ปรับเป็น Home Office ได้ พื้นที่สีเขียวภายในบ้าน และการใช้เทคโนโลยีสมาร์ทโฮม การเจาะตลาดบ้านเดี่ยวทำเลทองในชานเมืองที่เชื่อมต่อการเดินทางสะดวก ได้รับผลตอบรับที่ดี
การตลาดเชิงรุกและเทคโนโลยี: บริษัทที่มียอดขายโดดเด่นใช้เทคโนโลยี PropTech เข้ามาช่วยในการทำการตลาด การขาย และการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การนำเสนอโครงการผ่าน Virtual Reality (VR) การจองซื้อออนไลน์ ไปจนถึงการใช้ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ทำให้การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมีประสิทธิภาพสูงสุด
บริษัทที่มีรายได้จากการขายโดดเด่นในปี 2568 คือผู้ที่สามารถสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีฐานลูกค้าภักดี และนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายให้ตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เน้นการตัดสินใจจากข้อมูลและการรีวิวออนไลน์ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม
กำไรสุทธิ (Net Profit): หัวใจของการอยู่รอดอย่างยั่งยืน
ในท้ายที่สุด “ผู้ชนะตัวจริง” ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568 ไม่ได้วัดกันที่รายได้สูงสุด แต่คือผู้ที่สามารถแปลงรายได้เหล่านั้นให้เป็น “กำไรสุทธิ” ที่จับต้องได้ และยั่งยืน ผมเห็นว่าในปีนี้ บริษัทที่สามารถทำกำไรสุทธิได้อย่างแข็งแกร่ง คือผู้ที่ใส่ใจในการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มงวด การควบคุมหนี้ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในทุกมิติ
การบริหารจัดการต้นทุน: นับตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้างวัสดุก่อสร้าง การบริหารแรงงาน ไปจนถึงการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ไม่จำเป็น บริษัทที่ประสบความสำเร็จใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
การจัดการหนี้และกระแสเงินสด: การมีโครงสร้างหนี้ที่แข็งแกร่ง และการรักษาสภาพคล่องทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านยังมีความผันผวน บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงมักมีการหมุนเวียนกระแสเงินสดที่ดี และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเงินกู้มากเกินไป
การสร้างมูลค่าเพิ่ม: การพัฒนาโครงการที่มีนวัตกรรม การนำเสนอคุณค่าที่แตกต่าง และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า สามารถทำให้บริษัทตั้งราคาขายได้สูงขึ้นและมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น
การขายสินทรัพย์เพื่อเพิ่มกำไร: คล้ายกับที่บางบริษัทเคยทำได้ในปี 2566 การขายสินทรัพย์ที่ไม่ได้เป็นธุรกิจหลักเข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REIT) หรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมสภาพคล่องและเพิ่มกำไรสุทธิให้กับบางบริษัทในปี 2568 อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบและมีแผนการลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ที่ชัดเจน
บริษัทที่มีกำไรสุทธิโดดเด่นในปี 2568 จะเป็นบริษัทที่สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของยอดขายและการบริหารจัดการการเงินที่มีวินัยสูง แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการยืนหยัดและสร้างผลตอบแทนที่แท้จริงให้กับผู้ถือหุ้น
เทรนด์สำคัญและกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568
อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน (Sustainable Real Estate) และ Green Building: ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นมาตรฐานใหม่ ผู้บริโภคและนักลงทุนหันมาให้ความสำคัญกับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานหมุนเวียน และวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ ผู้พัฒนาที่นำแนวคิดนี้มาใช้ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการก่อสร้าง จะได้เปรียบในการแข่งขัน
PropTech และ Smart Living: เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทุกมิติของอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่การออกแบบ, การก่อสร้างด้วย BIM (Building Information Modeling), การตลาดดิจิทัล, ระบบจัดการอาคารอัจฉริยะ (Smart Building Management System), ไปจนถึง Smart Home Automation ที่มอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัย ผู้พัฒนาที่นำเสนอโครงการที่มีนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีเหล่านี้จะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี
Wellness & Health-Centric Homes: ความใส่ใจในสุขภาพเป็นเมกะเทรนด์หลังวิกฤตสุขภาพ โครงการที่อยู่อาศัยที่เน้นพื้นที่สีเขียว สิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพ ฟิตเนส สปา หรือแม้แต่การออกแบบที่คำนึงถึงสุขภาวะที่ดีของผู้อยู่อาศัย จะเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัวที่ใส่ใจสุขภาพ
Flexible Spaces และ Hybrid Living: พฤติกรรมการทำงานที่เปลี่ยนไปสู่ Hybrid Work หรือ Work From Anywhere ทำให้ความต้องการพื้นที่ที่ยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนเป็น Home Office หรือ Co-working Space ได้ในโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น การออกแบบฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการทำงานไปพร้อมกันคือสิ่งสำคัญ
การขยายตัวของเมืองรองและการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคม: โครงการโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงและรถไฟทางคู่ได้เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทำให้เมืองรองที่มีศักยภาพ เช่น นครราชสีมา ขอนแก่น ระยอง หรือสงขลา กลายเป็นทำเลทองแห่งใหม่สำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนและที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบการที่มองเห็นโอกาสและเข้าไปลงทุนก่อนจะได้เปรียบ
ตลาดเช่า (Rental Market) ที่เติบโต: ด้วยราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงสูงและข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ ทำให้ตลาดเช่า โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์คุณภาพดี มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการเพื่อตอบสนองตลาดนี้
บทสรุปและโอกาสการลงทุนปี 2568
ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการพลิกโฉมและพิสูจน์ความแข็งแกร่งของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างแท้จริง ผู้ประกอบการที่ปรับตัวเร็ว มีกลยุทธ์ที่คมชัด เข้าใจความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ และมีการบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีวินัย จะเป็นผู้ที่สามารถยืนหยัดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ในฐานะนักลงทุนหรือผู้สนใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ผมขอเน้นย้ำว่านี่คือช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยโอกาสทอง แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง การเลือกลงทุนในโครงการที่ตอบโจทย์เมกะเทรนด์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน, Smart Living, Wellness หรือในทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตสูงจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและความต้องการที่หลากหลาย การจับกระแสให้ถูกทาง การเลือกพันธมิตรที่เหมาะสม และการมีข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำ จะทำให้ท่านไม่เพียงแค่ “รอด” แต่ยังสามารถ “รุ่ง” ในปี 2568 และปีต่อๆ ไปได้อย่างแน่นอน
หากท่านต้องการเจาะลึกข้อมูลเชิงกลยุทธ์ โอกาสการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ หรือปรึกษาแนวทางการพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ตลาดในปี 2568 โปรดติดต่อเราเพื่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์กว่าทศวรรษโดยตรง เราพร้อมเป็นที่ปรึกษาเพื่อช่วยให้ท่านก้าวสู่ความสำเร็จในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้

