เป็นอีกหนึ่งโมเมนต์สุดประทับใจเลยค่ะ หลังทางทีมงาน ฝันดี – ฝันเด่น เผยคลิปสุดตื้นตันใจ ขณะเข้าช่วยเหลือคุณป้าท่านหนึ่งที่ติดอยู่ในบ้านน้ำท่วมมาหลายวัน แม้จะลำบาก แต่คุณป้ากลับปฏิเสธอาหารที่ทีมงานนำมาให้

พร้อมทั้งบอกว่าตัวเองนั้นมีข้าวสารอยู่ เดี๋ยวจะหุงกินเอง อีกทั้งยังบอกให้กู้ภัยนำข้าวกล่องที่เตรียมมานั้นนำไปให้กับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม

ป้า : ให้ข้างนู้นเถอะค่ะ
กู้ภัย : อ้าวแล้วไม่เก็บไว้กินเองอ่ะ ?
ป้า : ไม่เป็นไร พี่มีข้าวสาร เดี๋ยวพี่หุงกินเอง
กู้ภัย : พี่เอาไข่ต้มไว้กินไหม ?
ป้า : ไข่ต้มหรอ เอาๆ
ชาวเน็ตคอมเมนต์กันรัวๆเลยว่า มีป้าข้างบ้านแบบนี้ถือเป็นบุญคนข้างบ้านจริงๆ , น้ำตาไหลกับน้ำใจที่มากมาย ขอให้คุณน้าปลอดภัยนะคะ 🥹 , ซึ้งใจนะค่ะคุณป้าในสถานการณ์แบบนี้ ที่บ้านยังหุงได้ป้าบอกให้บ้านอื่นเลย
ภูมิทัศน์อสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568: ถอดรหัสผู้ชนะตัวจริงในมรสุมเศรษฐกิจ
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการพลิกผันของตลาดนับครั้งไม่ถ้วน แต่ปี 2568 นี้ นับเป็นอีกหนึ่งปีแห่งการปรับตัวครั้งสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายและโอกาสที่ซับซ้อนกว่าที่เคย ตลาดไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวังเหมือนช่วงก่อนหน้า เมื่อแรงส่งจากภาวะฟื้นตัวหลังวิกฤตชะลอตัวลง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบาง อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง และกำลังซื้อภายในประเทศที่ต้องระมัดระวัง เป็นปัจจัยที่ถ่วงดุลการเติบโตของเซกเมนต์ที่อยู่อาศัย แต่ในทางกลับกัน บางภาคส่วนกลับแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและศักยภาพในการเติบโตอย่างน่าจับตา
ปี 2568 ไม่ใช่ปีที่ง่ายดายสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หากมองในภาพรวม ตลาดยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม นี่คือบทพิสูจน์ที่แท้จริงของผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์ ความสามารถในการปรับตัว และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป Property Mentor ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกที่เราเชื่อมั่น ได้ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลผลประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ 41 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อค้นหาว่าใครคือผู้ที่สามารถนำพานาวาธุรกิจฝ่ามรสุมในปีนี้ และใครคือผู้ชนะตัวจริงที่สามารถสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นท่ามกลางความผันผวนของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในปัจจุบัน
การวิเคราะห์ของเราจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเลขรายได้และกำไร แต่จะเจาะลึกถึงกลยุทธ์เบื้องหลัง ความสามารถในการบริหารจัดการ และนวัตกรรมที่ช่วยให้แต่ละบริษัทสามารถสร้างความแตกต่างและยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง เราจะเปิดเผยถึงเทรนด์สำคัญ แนวโน้มที่กำลังจะมาถึง และปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของ การลงทุนอสังหา ในระยะยาว เพื่อให้ทั้งผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้ที่กำลังมองหา ที่อยู่อาศัย ได้เตรียมพร้อมรับมือกับภูมิทัศน์ที่กำลังเปลี่ยนไป
ภาพรวมตลาดและการปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568
ปี 2568 ได้เผยให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้เล่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างชัดเจน รายได้รวมของบริษัทอสังหาฯ ทั้ง 41 แห่งที่ Property Mentor ติดตามนั้น ยังคงเผชิญกับการหดตัวต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 3.65 แสนล้านบาท ซึ่งลดลงประมาณ -1.5% จากปี 2567 ที่มีรายได้รวมประมาณ 3.71 แสนล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนถึงการปรับฐานของตลาดและความท้าทายในการเร่งยอดขาย ท่ามกลางภาวะ เศรษฐกิจไทย ที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และความระมัดระวังในการใช้จ่ายของผู้บริโภค
แม้ตัวเลขรวมจะดูไม่สดใสนัก แต่เมื่อเจาะลึกในระดับรายบริษัท กลับพบว่ามีถึง 28 จาก 41 บริษัทที่ต้องเผชิญกับรายได้รวมที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บ่งชี้ว่าไม่ใช่ทุกรายจะสามารถปรับตัวได้ทันกับพลวัตของตลาดที่เปลี่ยนไป ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายที่เคยเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนตลาด กลับต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัว เช่น กลุ่มที่เคยพึ่งพิงตลาด คอนโดมิเนียม ระดับกลาง-บนในทำเลเมืองอย่าง LPN Development และ Raimon Land ที่รายงานรายได้รวมลดลงถึงประมาณ -25% และ -20% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดและอุปทานคงค้างในบางเซกเมนต์ นอกจากนี้ Major Development และ Siamese Asset ก็ยังคงอยู่ในภาวะที่ต้องบริหารจัดการสต็อกอย่างรัดกุม ส่งผลให้รายได้รวมลดลงราวๆ -18% และ -15%
แม้แต่ยักษ์ใหญ่ในตลาดอย่าง Land & Houses ซึ่งเคยเป็นเสาหลักของ บ้านจัดสรร ก็ยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดัน ทำให้รายได้รวมลดลงไปประมาณ -12% อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในกลุ่มบริษัทที่มีรายได้รวมสูงสุด 10 อันดับแรกในปี 2568 เราพบว่ามีถึง 6 บริษัทที่รายได้รวมลดลงจากปี 2567 ซึ่งนอกจาก Land & Houses แล้ว ยังรวมถึง AP (Thailand) ที่ลดลงเล็กน้อยไม่ถึง -1% สะท้อนถึงการปรับกลยุทธ์การขายที่เน้นความระมัดระวังมากขึ้น ขณะที่ Supalai ก็มีรายได้ลดลงประมาณ -8% และ Pruksa Holding ลดลงประมาณ -7% การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า แม้แต่ผู้เล่นรายใหญ่ก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงของ แนวโน้มอสังหา 2568 ได้
การจัดอันดับผู้ประกอบการในมิติต่างๆ: ใครคือผู้ยืนหนึ่ง?
การประเมินผลงานของบริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่างแท้จริง จำเป็นต้องมองให้ลึกกว่าแค่ตัวเลขรายได้รวม ซึ่งอาจมีการรวมรายได้จากธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ดังนั้น การวิเคราะห์ รายได้จากการขาย จึงเป็นดัชนีชี้วัดที่แม่นยำที่สุดว่าบริษัทนั้นๆ มีความสามารถในการสร้างยอดขายและตอบสนองความต้องการของตลาดได้ดีเพียงใด
แชมป์ด้านรายได้รวม: แสนสิริ ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาฯ ที่ทำรายได้รวมสูงสุดในปี 2568 นั้น แสนสิริ ยังคงครองแชมป์ได้อย่างงดงาม ด้วยรายได้รวมประมาณ 41,500 ล้านบาท เติบโตประมาณ 6% จากปี 2567 ที่ 39,082 ล้านบาท ชนะ AP (Thailand) ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยรายได้รวมประมาณ 38,800 ล้านบาท อย่างเฉียดฉิว การเติบโตของแสนสิริสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการกระจายพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์และเจาะตลาดที่หลากหลาย รวมถึงการบริหารจัดการโครงการที่รวดเร็ว อันดับ 3 ยังคงเป็นของ Supalai ด้วยรายได้รวมประมาณ 30,500 ล้านบาท ตามมาด้วย Land & Houses ที่มีรายได้รวมประมาณ 28,000 ล้านบาท และ Pruksa Holding ประมาณ 24,500 ล้านบาท
อันดับ 6 ตกเป็นของ SC Asset Corporation ด้วยรายได้รวมประมาณ 23,000 ล้านบาท อันดับ 7 Univentures ที่ยังคงมีรายได้รวมประมาณ 16,500 ล้านบาท อันดับ 8 Frasers Property (Thailand) ที่ 15,000 ล้านบาท อันดับ 9 Origin Property ประมาณ 14,500 ล้านบาท และอันดับ 10 Singha Estate ที่ประมาณ 14,000 ล้านบาท การจัดอันดับนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัทที่สามารถสร้างรายได้จากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โรงแรม หรือพื้นที่ค้าปลีก
แชมป์ด้านรายได้จากการขาย: AP (Thailand) พิสูจน์ความเชี่ยวชาญในการสร้างยอดขาย
เมื่อพิจารณาเฉพาะ รายได้จากการขาย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลักในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภาพของ 10 อันดับแรกก็มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยรวมแล้ว บริษัทอสังหาฯ ทั้ง 41 แห่ง มีรายได้จากการขายรวมกันประมาณ 250,000 ล้านบาท ลดลงประมาณ -7% เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่ 268,460 ล้านบาท และมีถึง 32 จาก 41 บริษัทที่มีรายได้จากการขายลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการปิดยอดขายในสภาพตลาดปัจจุบัน
AP (Thailand) ยังคงเป็นผู้นำด้านการสร้างยอดขายอย่างไม่มีใครเทียบ ด้วยรายได้จากการขายรวมประมาณ 37,500 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการพัฒนา คอนโดมิเนียม และ บ้านจัดสรร ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และยังคงมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ แสนสิริ ตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยรายได้จากการขายรวมประมาณ 34,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตที่น่าประทับใจถึง 3.5% จากปีก่อนหน้า แสดงถึงความแข็งแกร่งในการเจาะตลาดหลากหลายกลุ่ม อันดับ 3 ยังคงเป็นของ Supalai ที่ทำรายได้จากการขายประมาณ 29,500 ล้านบาท รักษาตำแหน่งได้อย่างเหนียวแน่น
SC Asset Corporation พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ได้สำเร็จ ด้วยรายได้จากการขายประมาณ 24,000 ล้านบาท และยังเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่มีรายได้จากการขายเติบโตในแดนบวกที่ประมาณ 3% สะท้อนถึงการปรับกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ตลาดได้ดีขึ้น อันดับ 5 เป็นของ Pruksa Holding ที่มีรายได้จากการขายรวมประมาณ 21,500 ล้านบาท
ส่วน Land & Houses แม้รายได้จากการขายจะลดลงไปมาก แต่ก็ยังคงประคองตัวอยู่ใน Top 10 ด้วยรายได้จากการขายรวมประมาณ 17,500 ล้านบาท อันดับ 7 Frasers Property (Thailand) มีรายได้จากการขายรวมประมาณ 11,000 ล้านบาท อันดับ 8 Origin Property แม้จะเผชิญกับความท้าทาย แต่ก็ยังเกาะกลุ่มอยู่ใน Top 10 ได้ด้วยรายได้จากการขายรวมประมาณ 8,500 ล้านบาท อันดับ 9 Quality Houses ที่มาแบบเงียบๆ แต่สม่ำเสมอ ด้วยรายได้จากการขายรวมประมาณ 7,200 ล้านบาท และอันดับ 10 เป็นของ Property Perfect ที่มีรายได้จากการขายรวมประมาณ 6,800 ล้านบาท
ที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ Central Pattana ซึ่งเริ่มเก็บเกี่ยวผลจากการปูพรมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายมาหลายปี โดยในปี 2568 CPN มีรายได้จากการขายประมาณ 6,500 ล้านบาท เติบโตถึง 11.5% จากปี 2567 ที่ 5,835 ล้านบาท ตอกย้ำถึงศักยภาพในการเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน
กำไรสุทธิ: บทพิสูจน์การบริหารจัดการต้นทุนและการเงิน
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ใครจะขายได้มากเพียงใด แต่หากปราศจากกำไรสุทธิที่แข็งแกร่ง ก็ไม่อาจถือว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริงได้ ในปี 2568 ทั้ง 41 บริษัททำกำไรสุทธิรวมกันได้ประมาณ 41,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงประมาณ -7% จากปี 2567 ที่มีกำไรสุทธิรวมกันประมาณ 44,165 ล้านบาท สะท้อนถึงแรงกดดันด้านต้นทุนการก่อสร้าง อัตราดอกเบี้ย และการแข่งขันด้านราคา โดยมีบริษัทที่ผลประกอบการขาดทุนถึง 15 บริษัท และกว่า 25 บริษัทจากทั้งหมด 41 บริษัทที่มีผลกำไรลดลงจากปี 2567
Land & Houses: แชมป์ด้านกำไรสุทธิด้วยความรอบคอบและกลยุทธ์การเงินที่ชาญฉลาด
สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาฯ ที่สามารถทำกำไรได้สูงสุดในปี 2568 นั้น Land & Houses ยังคงยืนหนึ่งเป็นแชมป์เก่า แม้รายได้จากการขายจะลดลง แต่ก็ยังกวาดกำไรในปีนี้ไปได้ถึง 7,200 ล้านบาท เหตุผลหลักส่วนหนึ่งมาจากความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสม่ำเสมอ และกลยุทธ์การขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักเพื่อสร้างกำไรพิเศษ อันดับ 2 เป็นของ Supalai ที่ทำกำไรไปได้ 6,100 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการบริหารจัดการโครงการและต้นทุนอย่างยอดเยี่ยม เฉือน AP (Thailand) ที่มีกำไร 6,000 ล้านบาท ไปอย่างเฉียดฉิว ซึ่ง AP (Thailand) ยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างกำไรจากยอดขายที่แข็งแกร่ง
อันดับ 4 คือ แสนสิริ ที่มีกำไรสุทธิ 5,900 ล้านบาท เติบโตอย่างน่าประทับใจถึง 1% จากปีก่อนหน้า สะท้อนถึงการเติบโตอย่างยั่งยืน อันดับ 5 Origin Property มีกำไรสุทธิประมาณ 2,900 ล้านบาท แม้กำไรจะลดลงเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในกลุ่มผู้นำ
อันดับ 6 SC Asset มีกำไรสุทธิประมาณ 2,400 ล้านบาท อันดับ 7 Quality Houses ที่มีกำไรสุทธิประมาณ 2,300 ล้านบาท อันดับ 8 Pruksa Holding มีกำไรประมาณ 2,200 ล้านบาท ส่วนอันดับ 9 ตกเป็นของ Frasers Property ที่มีกำไรประมาณ 1,700 ล้านบาท และอันดับ 10 Central Pattana ที่มีกำไรสุทธิประมาณ 1,900 ล้านบาท แสดงถึงศักยภาพในการสร้างกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของธุรกิจหลากหลายรูปแบบ
บทเรียนจากปี 2568 และก้าวต่อไปในโลกอสังหาริมทรัพย์ยุคใหม่
จากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ เราสามารถสรุปได้ว่าปี 2568 เป็นปีที่ผู้ประกอบการต้องใช้ความสามารถอย่างรอบด้าน ไม่เพียงแต่เน้นยอดขาย แต่ต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุน การเงิน และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ การปรับตัวให้เข้ากับ เทรนด์อสังหา 2568 ที่เน้นความยั่งยืน (ESG), สมาร์ทโฮมอสังหา, การดูแลสุขภาพ (Wellness Residences) และการนำ พร็อพเทค มาประยุกต์ใช้ จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
ผู้ชนะตัวจริงในปีนี้ คือผู้ที่สามารถ:
ปรับกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์: ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูงที่มองหาความแตกต่าง หรือกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปที่ยังคงมองหา ที่อยู่อาศัย ที่เข้าถึงง่ายและคุ้มค่า
บริหารจัดการกระแสเงินสดและหนี้สิน: ในภาวะ ดอกเบี้ยอสังหา สูง การรักษาสภาพคล่องทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
มองหาโอกาสใหม่ๆ: เช่น การขยายไปยังตลาดต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ, การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-use Development) หรือการเจาะตลาด อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ที่ยังคงมีความต้องการจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม: เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและยกระดับประสบการณ์ลูกค้า
อนาคตอสังหาริมทรัพย์ไทย: โอกาสและความท้าทายสำหรับปี 2569
มองไปข้างหน้าถึงปี 2569 ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงมีโอกาสเติบโตจากปัจจัยหนุนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ และแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาค การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านหนี้ครัวเรือน และการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศจะเป็นโจทย์ใหญ่ที่ภาครัฐและเอกชนต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
บริษัทที่สามารถปรับตัวให้เร็ว มีพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย และมีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นผู้ที่สามารถคว้าโอกาสและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงภูมิทัศน์ของ การพัฒนาเมือง ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่แยกผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จออกจากผู้ที่ตามหลัง
หากคุณคือผู้ที่กำลังมองหา โอกาสลงทุนอสังหา หรือต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเพื่อนำพากิจการของคุณไปสู่ความสำเร็จในตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2569 และในอนาคต อย่าลังเลที่จะติดต่อเรา Property Mentor พร้อมที่จะเป็นคู่คิดและผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยคุณถอดรหัสทุกมิติของตลาด ให้คุณก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจและชาญฉลาดที่สุด

