พร้อมรวมน้ำใจส่งไปยังผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ นักร้องสาวแดนสตอ เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ที่ได้เปิดเทศกาลเจนนี่เปิดจุดรับบริจากเพื่อช่วยเหลือน้ำท่วมภาคใต้ที่หน้าร้าน Nigiwai สายไหม 73 ตั้งแต่ 16.00 – 00.00 น. งานนี้ เจนนี่ ควง บูม เทยกะทะ เปิดใจว่าวันนี้ดีใจมากเพราะเมื่อวานเป็นวันแรก ตนก็กังวลนิดนึงว่าเสียงของตนจะไม่ดังพอที่จะดึงกำลังพลมาช่วยแต่พอวันนี้มาหน้างานรับรู้ถึงน้ำใจคนไทยดีมาก ๆ ขอบคุณที่เสียสละตัวเองมาเพื่อส่วนรวม เมื่อวานนี้มันก็จะเหงา ๆ หน่อยเพราะไม่ได้ตั้งตัวอะไรแต่พอเริ่มช่วงค่ำก็มีศิลปินมาเสริมทัพทั้งก้อง ห้วยไร่, เด่นคุณ งามเนตร กลายเป็นว่าหลายคนเขาบอกต่อ ๆ กัน อีกทั้งสถานการณ์น้ำท่วมก็เป็นข่าวดังและเห็นตรงกันว่าควรให้ความสำคัญก่อน ทุกคนเลยมาที่จุดรับบริจาคนี้ โดยจุดนี้จะบริจาคตั้งแต่วันที่ 24-27 พ.ย 68 จนถึงเที่ยงคืนแล้ว
.
เจนนี่ เล่าว่าของที่รับบริจาคเมื่อวาน 3 คันรถได้ถึงอำเภอหาดใหญ่แล้วที่ค่ายทหารเสนาณรงค์เรียบร้อยแล้ว ฝากแชร์ต่อไปไปยังหน่วยกู้ภัยด้วย ให้ไปนำนำไปแจกจ่ายได้เลย ก่อนจะอัปเดตว่าตัว ยิว สามีที่อยู่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ ไปช่วยเหลือชาวบ้าน เพิ่งโทรมาบอกว่าเจ้าตัวยังไม่ได้นอน เจนนี่ ก็บอกให้เขาเอาอาหารไปที่คลองแหก่อนเพราะก็รับเคสมาว่าชาวบ้านที่คลองแหยังไม่มีใครเข้าไปช่วยเหลือและยังไม่ได้ทานข้าว 5 วันแล้ว สามีจะได้ระดมกำลังทหารที่ค่ายเสนาฯ รวมถึงทีมกู้ภัยเพื่อไปกระจายให้ได้เยอะที่สุด ในฐานะคนใต้รู้สึกดิ่งหนักมากเพราะเมื่อวานมีหลายความรู้สึกทั้งเป็นห่วงสามี ลูกสาวที่เกิดอุบัติเหตุหกล้ม รวมถึงหลาย ๆ เคสที่โทรมาขอความช่วยเหลือ เป็นนาทีชีวิตที่ต้องการความช่วยเหลือในตอนนั้นเลย ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือตอนนี้เขาจะเสียชีวิต โดยรวมจึงทำให้ตนรู้สึกเสียใจ อย่างที่บอกว่าตนเป็น เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ได้ทุกวันนี้เพราะคนใต้สนับสนุนมาตลอด ถ้าไม่มีพวกเขาตนก็ไม่ได้มีฐานะถึงตอนนี้ จึงรู้สึกเสียใจที่ทำได้แค่นี้ น่าเสียดายที่ไม่สามารถทำอะไรได้ก่อนหน้านี้ จากภาพถ่ายในโซเชียลจากคลิป เปิ้ล นาคร ยิ่งกว่าในหนังรู้สึกว่าทุกคนต้องการความช่วยเหลือ ในขณะที่มีเรือแค่ลำเดียวแต่คนร้องขอเป็นร้อยเป็นพัน น่าเสียใจในบางเรื่องแต่ก็เข้าใจทุกฝ่าย อยากให้กำลังใจ ไม่อยากซ้ำเติมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่อยากโทษใคร เจนนี่ ขอชื่นชมหัวใจจิตอาสาและขอบคุณทุกคนที่พร้อมลุยพร้อมไป เมื่อวานนี้ก็ได้ประชาสัมพันธ์ว่าส่งทีมกู้ภัยไป 10 ทีม วันนี้ก็จะส่งไปอีก 5-6 ทีม และมีส่งไปอีกเรื่อย ๆ

.
สิ่งที่ขาดเหลือคือยารักษาโรค ขวดนมเด็ก ไฟฉาย พาวเวอร์แบงค์ เสื้อกันฝน ชุดเด็ก รองเท้า เชื่อว่าอาหารแห้งตอนนี้ครบแล้ว ข้าวสารพอมีอยู่ ผ้าห่มก็ได้แล้ว ตอนนี้พลอยผู้จัดการ เบลล่า ก็ได้ทำการซื้อยาโดยตรงก็จ่ายเงินไป 500,000 บาท เพื่อที่จะจะได้ส่งไปยัง จ.สตูล และพรุ่งนี้ตนก็จะส่งรถไปยังสามจังหวัดชายแดนใต้อีกหนึ่งคัน ตอนนี้ เจนนี่ ควักเงินตัวเองไปประมาณ 2,000,000 แล้ว แต่ก็โชคดีที่เจ้าของแบรนด์ ที่เคยไลฟ์ก็มาซัพพอร์ตแบรนด์ละ 100,000 บาท รวมถึงดีใจเป็นอย่างมากที่คนบันเทิงดารามาช่วยเหลือกันในวันนี้ ชาย ชาตโยมและภรรยา, ป๊ายปาย โอริโอ้, ปอนด์ รุ่งรัตน์ และมากมายรู้สึกภูมิใจที่อย่างน้อย เสียงตนสามารถระดมคนได้มากต้องขอบคุณพี่พี่ดาราที่เข้ามาช่วยเหลือวันนี้จะทำให้เสียงดังขึ้น
.
เจนนี่ ยังเผยว่าบ้านย่าของยิวจมไปแล้วและยังติดต่อไม่ได้โดยกำลังเข้าพื้นที่ตรงนั้นอยู่ ด้วยความคิดว่าทุกคนมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ภาวนาให้ฝนหยุดตกเพิ่ม ตนเองก็มีการกำชับสามีว่าต้องใส่เสื้อชูชีพไปตลอด เพราะต้องเป็นห่วงมาก ๆ ส่วนบ้านน้องสาว ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่นที่ เจนนี่ ได้ซื้อให้ตอนนี้ก็น้ำท่วมทั้งหลังแล้วเพราะเป็นบ้านชั้นเดียวแต่ยังดีที่น้องอพยพออกมาทันมาอยู่กรุงเทพแล้วบอกกับน้องว่าไม่ต้องเสียใจเพราะในบ้านไม่มีสิ่งมีชีวิต ก่อน เจนนี่ จะบอกขอบคุณชาวบ้านที่มาช่วยในครั้งนี้ ถ้าทำงานนี้สำเร็จจะจัดคอนเสิร์ตฟรีเพื่อเป็นการตอบแทน เป้าหมายวันนี้คือต้องส่งรถ 12 ล้อ 1 คันไปยังสตูลให้สำเร็จ เพราะทุกวันนี้เป็นจังหวัดที่คนไม่ได้พูดถึงเยอะ ส่งข้าวสารอาหารแห้งผ้าห่ม ผ้าอนามัย นม ยา ส่วนที่หาดใหญ่ ผ้าห่ม 5000 ผืนมาถึงแล้ว นมผงก็จะมีสายการบินซัพพอร์ตส่งไปกับเครื่องบินเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีรถตู้ทึบสองคันลงที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะต้องคัดอาหารที่เป็นฮาลาลเพื่อชาวมุสลิม

.
งานนี้ เจนนี่ ยังแหลงใต้เป็นกำลังใจให้ชาวใต้ด้วยน้ำตาคลอ ๆ ว่า อยากให้รู้ว่ายังมีกำลังใจที่พร้อมส่งให้ทุกคนเสมอ รับรู้ถึงความรู้สึกและเข้าใจความรู้สึกทุกคน อยากให้เข้าใจไปถึงพี่ทีมงานกู้ภัยทุกคนที่มีน้อยมาก ๆ และพยายามทำงานดังสุดความสามารถให้กับทุกคนแล้ว ใครที่ต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อมาได้ เพื่อตนจะได้ประสานต่อไป และอยากให้ชาวใต้ทุกคนปลอดภัย ผ่านสถานการณ์ที่แย่ ๆ ครั้งนี้ให้ได้และเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรมากมาย มันเกิดบทเรียนทำให้เราตระหนักรู้ เพื่อคนรุ่นหลัง ได้เป็นกรณีศึกษาให้กับรุ่นหลังต่อไป .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน
วิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2025: ท่ามกลางความท้าทาย…ใครคือผู้นำตัวจริงและโอกาสลงทุนที่ต้องจับตา
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นถึงวัฏจักรแห่งการขึ้นลงและช่วงเวลาแห่งการปรับเปลี่ยนมากมาย แต่แทบไม่มีปีใดที่ต้องเผชิญกับคลื่นลมรุนแรงและผันผวนเท่าช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงปี 2566 ถือเป็นบททดสอบสำคัญที่เผยให้เห็นถึงความเปราะบางและจุดแข็งของแต่ละผู้ประกอบการอย่างชัดเจน จากความหวังที่เคยมั่นใจว่าจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2565 แต่กลับต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2566 และลากยาวมาจนถึงปี 2567 ที่สถานการณ์ยังคงไม่เอื้ออำนวยอย่างที่คาดหวังไว้
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นไป ไม่ได้สดใสอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวังไว้ตั้งแต่ต้นปี เศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนของผู้ประกอบการและกำลังซื้อของผู้บริโภค หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับน่าเป็นห่วงยังคงเป็นปัจจัยกดดันสำคัญที่ฉุดรั้งการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ของคนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดกลางและล่าง ทำให้การขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้นสำหรับผู้บริโภค และความเชื่อมั่นในระยะสั้นยังไม่กลับมาเต็มที่ สถานการณ์เหล่านี้ได้บีบให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์อย่างหนักหน่วง เพื่อประคองธุรกิจให้รอดพ้นจากมรสุม และมองหาโอกาสในการเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนนี้
Property Mentor ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รวม 41 แห่ง เพื่อวิเคราะห์ผลประกอบการในปี 2567 (ซึ่งเป็นปีที่อ้างอิงจากข้อมูลปี 2566 ในบทความต้นฉบับและปรับเป็นสถานการณ์ 2025) เราจะมาดูกันว่าใครคือผู้ที่สามารถยืนหยัดและใครคือผู้ที่พลิกเกมสร้างชัยชนะได้จริง ท่ามกลางสมรภูมิที่ท้าทายนี้ และเราจะฉายภาพไปข้างหน้าถึงทิศทางและกลยุทธ์สำคัญสำหรับปี 2568
ภาพรวมผลประกอบการปี 2567: รายได้รวมยังคงทรงตัวแต่มีการเปลี่ยนแปลงภายในอย่างมีนัยสำคัญ
จากข้อมูลที่รวบรวมได้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 41 แห่ง มีรายได้รวมกันกว่า 370,000 ล้านบาทในปี 2567 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับในปี 2566 ที่มีรายได้รวมประมาณ 371,560 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมยังคงอยู่ในภาวะทรงตัวค่อนไปทางชะลอตัว การเติบโตเป็นไปอย่างจำกัด อย่างไรก็ตาม หากเจาะลึกเข้าไปในรายละเอียดของแต่ละบริษัท เราจะพบว่ามีบริษัทถึง 25 จาก 41 แห่งที่ต้องเผชิญกับภาวะรายได้รวมที่ลดลง ซึ่งสะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดและสภาวะตลาดที่บีบรัด
บริษัทที่เผชิญกับภาวะรายได้รวมติดลบอย่างหนักหน่วงในระดับ 20% ขึ้นไป อาทิ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN), อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท (ESTAR) และ คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ (CGD) ที่ลดลงไปกว่า -28% สะท้อนถึงการบริหารจัดการสต็อกสินค้าและการเปิดโครงการใหม่ที่ไม่สอดรับกับตลาด นอกจากนี้ ไรมอน แลนด์ (RML) ก็ติดลบไปถึง -26% ตามมาด้วย ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) -23%, เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) -22% และไซมิส แอสเสท (SA) -21% บริษัทเหล่านี้ต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวและระบายสต็อกในภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย
แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ซึ่งมักจะเป็นผู้นำในตลาด ก็ยังมีรายได้รวมลดลงถึง 18% สิ่งที่น่าสังเกตคือ ใน 10 อันดับแรกของบริษัทที่มีรายได้รวมสูงสุดในปี 2567 มีถึง 5 บริษัทที่รายได้รวมลดลงจากปี 2566 นอกเหนือจากแลนด์แอนด์เฮ้าส์แล้ว ยังมี เอพี (ไทยแลนด์) (AP) ที่ติดลบเล็กน้อยไม่ถึง -1% สะท้อนถึงการรักษาฐานลูกค้าและการปรับตัวที่ทำได้ดีกว่าคู่แข่ง ขณะที่ ศุภาลัย (SPALI) ลดลง -10%, พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) -9% และ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) รายได้รวมลดลงราวๆ -4%
แสนสิริ: ผู้นำรายได้รวมในปี 2567 ด้วยกลยุทธ์ที่เฉียบคม
สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาฯ ที่สร้างรายได้รวมสูงสุดในปี 2567 ได้แก่:
แสนสิริ (SIRI): 39,082 ล้านบาท เติบโตอย่างแข็งแกร่ง 12% แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการจับจังหวะตลาดและเปิดตัวโครงการที่หลากหลายครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ทั้งอสังหาริมทรัพย์หรูไปจนถึงโครงการที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 38,399 ล้านบาท ตามมาอย่างใกล้ชิด สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในตลาดและกลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่สอดคล้องกับความต้องการจริง
ศุภาลัย (SPALI): 31,818 ล้านบาท รักษาอันดับผู้นำไว้ได้ แม้จะเผชิญกับความท้าทาย
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 30,170 ล้านบาท ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด แม้รายได้จะลดลง
พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH): 26,132 ล้านบาท ปรับตัวและรักษาฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 24,487 ล้านบาท เติบโตอย่างน่าสนใจ แสดงถึงการวางกลยุทธ์ที่แม่นยำ
ยูนิเวนเจอร์ (UV): 17,672 ล้านบาท หนึ่งในผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญในตลาด
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 16,169 ล้านบาท ความหลากหลายของพอร์ตโฟลิโอช่วยประคับประคองรายได้
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 15,157 ล้านบาท การขยายธุรกิจไปยังหลากหลายมิติช่วยให้ยังคงอยู่ในกลุ่มผู้นำ
สิงห์ เอสเตท (S): 15,066 ล้านบาท เน้นโครงการที่มีมูลค่าสูงและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เชิงกลยุทธ์
รายได้จากการขาย: ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แท้จริง
หากจะวัดผลงานกันจริงๆ รายได้จากการขายถือเป็นหัวใจสำคัญที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการตอบสนองต่อความต้องการของตลาด เพราะรายได้รวมของหลายบริษัทอาจมาจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่การขายอสังหาริมทรัพย์โดยตรง เช่น การให้เช่า หรือการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน ในปี 2567 บริษัทอสังหาฯ ทั้ง 41 แห่ง มีรายได้จากการขายรวมกัน 268,460 ล้านบาท ลดลงประมาณ -11% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้จากการขายรวมประมาณ 299,979 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการปิดการขายและระบายสต็อกสินค้า โดยมีถึง 30 จาก 41 บริษัทที่รายได้จากการขายลดลงอย่างน่าตกใจ
บริษัทที่ประสบปัญหาในการสร้างยอดขายอย่างมาก อาทิ ไรมอน แลนด์ ที่มีรายได้จากการขายลดลงสูงถึง -78% และแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ลดลงเกือบ -40% ซึ่งอาจเป็นผลมาจากโครงการที่อยู่ในทำเลที่มีการแข่งขันสูง หรือสินค้าไม่ตอบโจทย์ตลาดปัจจุบัน แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ก็ยังมีรายได้จากการขายลดลงถึง -38% แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครรอดพ้นจากผลกระทบของภาวะตลาดได้ง่ายๆ ส่วน เอพี (ไทยแลนด์) แม้จะติดลบเล็กน้อยที่ -2% แต่ก็ยังคงรักษาฐานการขายได้อย่างน่าประทับใจ และที่สำคัญคือ ใน 10 อันดับแรกของบริษัทที่มีรายได้จากการขายสูงสุด มีถึง 8 บริษัทที่รายได้จากการขายลดลง ซึ่งเน้นย้ำถึงความยากลำบากของตลาด
เอพี (ไทยแลนด์): ราชาแห่งยอดขายในปี 2567 ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง
สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาฯ ที่ทำรายได้จากการขายสูงสุดในปี 2567 ได้แก่:
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 36,927 ล้านบาท ก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในด้านยอดขายอย่างโดดเด่น ด้วยความเชี่ยวชาญในการพัฒนาคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่และบ้านเดี่ยวทำเลดีที่ตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างแม่นยำ
แสนสิริ (SIRI): 32,829 ล้านบาท ตามมาอย่างใกล้ชิด และเป็น 1 ใน 2 บริษัทที่มีรายได้จากการขายเติบโตถึง 7% แสดงถึงความสามารถในการปรับตัวและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์
ศุภาลัย (SPALI): 30,836 ล้านบาท รักษามาตรฐานการขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 23,370 ล้านบาท พลิกฟื้นขึ้นมาติด Top 5 และเป็นอีกบริษัทที่มีรายได้จากการขายเติบโตถึง 13% โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์หรูและโครงการแนวราบ
พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH): 22,357 ล้านบาท ยังคงรักษาระดับการขายได้อย่างน่าพอใจ
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 18,966 ล้านบาท แม้ยอดขายจะลดลง แต่ก็ยังคงประคองตัวอยู่ใน Top 10 ได้ แสดงถึงฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 10,019 ล้านบาท ความหลากหลายของโครงการและทำเลทองอสังหาฯ ช่วยขับเคลื่อนยอดขาย
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 8,840 ล้านบาท แม้ยอดขายจะลดลงถึง -24% แต่ก็ยังคงรักษาระดับอยู่ในกลุ่มผู้นำได้ ด้วยกลยุทธ์การขยายธุรกิจที่แตกต่าง
ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH): 7,619 ล้านบาท ทำผลงานได้อย่างสม่ำเสมอในตลาด
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF): 7,171 ล้านบาท ประคองยอดขายในภาวะที่ยากลำบากได้ดี
อีกหนึ่งบริษัทที่น่าจับตาคือ เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ที่เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตจากการปูพรมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายมาหลายปี ในปี 2567 CPN มีรายได้จากการขายสูงถึง 5,835 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 103% จากปี 2566 ที่มีรายได้จากการขายเพียง 2,870 ล้านบาท ตอกย้ำถึงศักยภาพในการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรและวิสัยทัศน์ในการสร้าง Mixed-use Development ที่ประสบความสำเร็จ
กำไรสุทธิ: บทสรุปของความสำเร็จที่แท้จริง
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าใครจะมียอดขายดีเพียงใด แต่หากไม่สามารถเปลี่ยนยอดขายเป็นกำไรสุทธิที่จับต้องได้ ก็อาจไม่ใช่ผู้ชนะที่แท้จริง ในปี 2567 บริษัททั้ง 41 แห่ง มีกำไรสุทธิรวมกัน 44,165 ล้านบาท ลดลง -11% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิรวมประมาณ 49,602 ล้านบาท ที่น่าตกใจคือ มีกว่า 12 บริษัทที่ผลประกอบการขาดทุน ซึ่งบางบริษัทขาดทุนต่อเนื่องมา 3-4 ปี ตั้งแต่ช่วงโควิดและยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ และกว่า 20 บริษัทจาก 41 บริษัท มีผลกำไรลดลงจากปี 2566 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแรงกดดันด้านต้นทุนและการแข่งขันที่สูงขึ้น
แลนด์แอนด์เฮ้าส์: แชมป์กำไรสุทธิด้วยกลยุทธ์การบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม
สำหรับ Top 10 บริษัทอสังหาฯ ที่สามารถทำกำไรสุทธิสูงสุดในปี 2567 ได้แก่:
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 7,495 ล้านบาท ยังคงเป็นแชมป์เก่าด้านกำไร แม้รายได้จากการขายจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการบริหารต้นทุนที่แข็งแกร่งและอาจรวมถึงกำไรจากการขายสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์เพื่อการลงทุนในระยะยาว
ศุภาลัย (SPALI): 6,083 ล้านบาท ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 อย่างสมศักดิ์ศรี แสดงถึงประสิทธิภาพในการทำกำไรที่ยอดเยี่ยม
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 6,054 ล้านบาท ตามมาอย่างฉิวเฉียด ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและสร้างยอดขายอย่างมีกำไร
แสนสิริ (SIRI): 5,846 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 42% ในด้านกำไรสุทธิ สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 3,160 ล้านบาท แม้กำไรจะลดลงจากปีก่อนถึง -25% แต่ยังคงรักษาระดับกำไรในกลุ่มผู้นำได้ ด้วยการขยายพอร์ตโฟลิโอไปสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 2,525 ล้านบาท สร้างผลกำไรที่น่าประทับใจ แสดงถึงการเติบโตอย่างมีคุณภาพ
ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH): 2,503 ล้านบาท ผลงานด้านกำไรยังคงแข็งแกร่งและสม่ำเสมอ
พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH): 2,339 ล้านบาท ความสามารถในการทำกำไรยังคงเป็นจุดแข็ง
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 1,865 ล้านบาท การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมช่วยเสริมความมั่นคง
เซ็นทรัลพัฒนา (CPN): 1,610 ล้านบาท (ตัวเลขประมาณการจากกำไรก่อนหักภาษีเงินได้ 1,975 ล้านบาท) ผลกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากธุรกิจที่อยู่อาศัยที่เพิ่งเริ่มเก็บเกี่ยว แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันมหาศาล
ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568: กลยุทธ์เพื่อการอยู่รอดและการเติบโต
จากบทเรียนและผลประกอบการในปี 2567 ที่ผ่านมา ทำให้เราเห็นถึงภาพที่ชัดเจนขึ้นสำหรับปี 2568 ที่ยังคงเป็นปีแห่งความท้าทาย แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ที่พร้อมปรับตัวและมองเห็นช่องทางใหม่ๆ ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์คาดการณ์ว่า ตลาดจะยังคงเผชิญกับปัจจัยกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่อาจยังไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังเป็นประเด็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติในบางเซกเมนต์ โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์หรูและโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม
สำหรับปี 2568 กลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องให้ความสำคัญมีดังนี้:
การกระจายความเสี่ยง (Diversification): การพึ่งพิงตลาดที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาขยายพอร์ตโฟลิโอไปยัง อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ คลังสินค้า ศูนย์ข้อมูล หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ การพัฒนาโครงการแบบ Mixed-use Development ที่ผสานที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก และพื้นที่ทำงานเข้าไว้ด้วยกันในทำเลทองอสังหาฯ จะยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูด
การเข้าถึงกลุ่มตลาดเฉพาะ (Niche Market Focus): ในขณะที่ตลาดกลางและล่างยังคงเผชิญความท้าทาย ตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูยังคงมีความต้องการสูงจากกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงและนักลงทุนต่างชาติ การเจาะกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น มีคุณภาพ และบริการที่เหนือระดับ จะเป็นกุญแจสำคัญ นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะทาง เช่น Pet-friendly Condo, Wellness Residence หรือ Smart Home Solutions ก็เป็นอีกช่องทางที่น่าสนใจ
การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ (Digital Transformation / PropTech): ยุคดิจิทัลเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการต้องลงทุนใน ดิจิทัลอสังหาฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตั้งแต่การวิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ ด้วย Big Data, การนำเสนอโครงการด้วย Virtual Reality/Augmented Reality, การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ไปจนถึงการทำสัญญาและโอนกรรมสิทธิ์แบบไร้กระดาษ การใช้เทคโนโลยีจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มความเร็ว และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า
ความยั่งยืนและ ESG (Environmental, Social, Governance): กระแสความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน โดยเน้นการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานทางเลือก การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างชุมชนที่มีคุณภาพ จะเป็นจุดขายสำคัญที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ซื้อและนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ ESG อสังหาฯ
การบริหารจัดการทางการเงินอย่างรอบคอบ: ในภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงผันผวน การบริหารกระแสเงินสด การลดภาระหนี้ และการรักษาสภาพคล่องทางการเงินเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายและพิจารณาการร่วมทุนกับพันธมิตรที่มีศักยภาพจะช่วยลดความเสี่ยงได้
การดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ (Foreign Real Estate Investment): แม้กฎระเบียบในการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติในไทยยังคงมีข้อจำกัด แต่ความสนใจในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์จากชาวต่างชาติยังคงมีอยู่สูง โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมและวิลล่าตากอากาศ การใช้มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่เหมาะสมจากภาครัฐควบคู่ไปกับการทำการตลาดเชิงรุก จะเป็นโอกาสในการสร้างยอดขาย
สรุปและบทสรุป
ปี 2567 ที่ผ่านมาได้ตอกย้ำถึงความเปราะบางและความจำเป็นในการปรับตัวของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย ผู้ประกอบการที่สามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น แสนสิริ, เอพี (ไทยแลนด์), ศุภาลัย, แลนด์แอนด์เฮ้าส์ หรือ เอสซี แอสเสท ล้วนมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการรับมือกับความท้าทาย ทั้งการกระจายผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการต้นทุนที่ดีเยี่ยม และการจับจังหวะตลาดที่แม่นยำ ส่วน เซ็นทรัลพัฒนา ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพใหม่ในการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายอย่างเต็มตัว
สำหรับปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงเป็นสมรภูมิที่ต้องใช้ความระมัดระวัง แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและพร้อมจะลงทุนในนวัตกรรม การลงทุนอสังหาฯ ในปี 2568 จะไม่ใช่เพียงแค่การสร้างที่อยู่อาศัย แต่เป็นการสร้าง Ecosystem ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกมิติ การทำความเข้าใจตลาดบ้านมือสอง, ราคาประเมินอสังหาฯ ที่แม่นยำ และการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม จะเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้าสังเกตการณ์มานานกว่าทศวรรษ ผมเชื่อว่าปี 2568 คือหมุดหมายสำคัญของการปรับตัว ใครที่ปรับตัวได้เร็ว มีวิสัยทัศน์ และพร้อมลงทุนในนวัตกรรม จะเป็นผู้ที่ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่าน หากท่านต้องการเจาะลึกข้อมูล หรือปรึกษาแนวทางลงทุนในทำเลที่ใช่และโอกาสที่เหมาะสมกับท่านในปี 2568 อย่าลังเลที่จะติดต่อเรา หรือติดตามบทวิเคราะห์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญของเราต่อไป เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจในทุกการตัดสินใจ

